แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายทำงานอยู่องค์การรับส่งสินค้าและพัศดุภัณฑ์ ในกรมรถไฟ ครั้นเมื่อถึงแก่กรรมลง มีสิทธิได้รับเงินหลายประเภทตามระเบียบข้อบังคับขององค์การและทางการวางไว้ บิดาผู้ตายจึงได้ร้องขอรับเงินจำนวนนี้ โดยแสดงว่าตนเป็นบิดา และกำลังร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายอยู่ แต่ทางกรมรถไฟกลับจ่ายเงินให้แก่ภริยาผู้ตายซึ่งปรากฎในทะเบียนประวัติว่า เป็นภริยาผู้ตาย แต่ปรากฎว่าภริยาผู้นี้มิได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ตายตามกฎหมายนั้น เป็นการจ่ายที่ไม่รอบคอบขาดความระมัดระวัง จึงได้ชื่อปฏิบัติไม่ถูกต้องตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 315 ฉะนั้นบิดาของผู้ตายในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ย่อมมีสิทธิ์ฟ้องเรียกเงินจำนวนนั้นจากกรมรถไฟอีกได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ก่อนวายชนม์ร้อยเอกสมานทำงานเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่อยู่ในองค์การรับส่งสินค้าและพัศดุภัณฑ์ครั้งสุดท้ายได้รับเงินเดือนๆ ละ ๑๓๒๐ บาท และยังมีสิทธิ์ได้รับเงินประเภทต่าง ๆ ตามระเบียบข้อบังคับองค์การและทางการวางไว้ ครั้นเมื่อ ร.อ.สมานวายชนม์ลง จำเลยที่ ๒ ได้จ่ายเงินบางส่วนตามที่ ร.อ.สมานมีสิทธิสมควรจะได้รับ ให้นางอนงค์ ซึ่งโจทก์ได้ร้องคัดค้านไว้แล้วว่า มิใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิได้รับ โจทก์เป็นบิดาและกำลังร้องขอตั้งเป็นผู้จัดการมรดกอยู่ แต่จำเลยที่ ๒ ก็ยังจ่ายเงินให้นางอนงค์ไป ฯลฯ จึงขอให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นเงิน ๕๕๘๕ บาท ฯลฯ
จำเลยปฏิเสธความรับผิด และว่าได้จ่ายเงินไปตามระเบียบแล้ว
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ ๗๔๒ บาท ๐๘ สตางค์
โจทก์อุทธรณ์ล
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยชำระเงิน ๕๒๙๐ บาท ๕๘ สตางค์ แก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยจ่ายเงินแก่นางอนงค์ภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายไปนั้น เป็นการจ่ายที่ไม่รอบคอบขาดความระมัดระวัง เพราะโจทก์ซึ่งเป็นบิดาของผู้ตาย ได้ทำหนังสือแสดงความจำนงขอรับเงินไว้ก่อนแล้วจึงได้ชื่อว่าปฏิบัติ ไม่ถูกต้องตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๓๑๕ ดังที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยไว้ ฯลฯ
แต่จำนวนเงินที่ควรได้ ศาลฎีกาพิพากษแก้เป็นให้จำเลยใช้ ๔๓๖๐ บาท ๕๘ สตางค์