คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056-1065/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การตีความแสดงเจตนาต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้แต่ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ โจทก์ยอมให้จำเลยได้ทำสัญญาเช่าต่อไป อีกโดยกำหนดเวลาเช่าหนึ่งปีหกเดือน เริ่มนับเวลาเช่าตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ดังนี้ แสดงว่าโจทก์เพียงแต่ผ่อนผันให้จำเลยได้มีโอกาสอยู่ต่อไปอีกเพียง 1 ปี 6 เดือนเท่านั้นแม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมิได้เขียนไว้โดยแจ้งชัดว่าพ้นกำหนด 1 ปี 6 เดือนแล้วจะต้องออกจากที่ดิน ก็ต้องแปลเจตนาของคู่กรณีไปเช่นนั้น

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาท

จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้องไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ ไม่มีสิทธิฟ้อง

ต่อมาคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ โจทก์ยอมให้จำเลยทำสัญญาเช่าที่นั้นต่อไปอีก โดยกำหนดเวลาเช่า 1 ปี 6 เดือน เริ่มนับเวลาเช่าตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม

ครั้นล่วงเลย 1 ปี 6 เดือน จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาท โจทก์จึงร้องขอให้ศาลบังคับ จำเลยแถลงคัดค้านว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ตกลงว่าเมื่อครบกำหนด 1 ปี 6 เดือนแล้วจำเลยจะต้องออกจากที่พิพาท

ศาลชั้นต้นเห็นว่าตามสัญญายอมไม่มีข้อความว่าเมื่อพ้นกำหนด1 ปี 6 เดือน แล้วจะทำอย่างไรต่อไป บังคับไม่ได้ ให้ยกคำร้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งหมดแต่เริ่มต้นนั้นก็โดยเจตนาที่จะขับไล่จำเลยทุกคนออกไปให้พ้นที่โจทก์ แต่การมิได้เป็นไปสมเจตนา ก็เพราะได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเสียก่อน ดังปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นได้ทำไว้เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2507 สัญญายอมความนี้จึงแสดงว่า โจทก์เพียงแต่ผ่อนผันให้จำเลยได้มีโอกาสอยู่ต่อไปเพียงชั่ว 1 ปี 6 เดือนเท่านั้น แม้จะมิได้เขียนไว้โดยแจ้งชัดว่าพ้นกำหนด 1 ปี 6 เดือน จะต้องออกทันที ก็น่าจะแปลเจตนาของคู่กรณีไปในรูปนี้ จึงจะชอบด้วยหลักที่ว่าการตีความแสดงเจตนานั้นต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร

พิพากษายืน

Share