แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แต่เดิมโจทก์ฟ้องคดีอาญาว่า จำเลยโกงเจ้าหนี้โดยจำเลยกู้เงินโจทก์ไปหนี้ยังไม่ได้ชำระก็โอนที่ดินให้แก่บุคคลอื่น ศาลเห็นว่าจำเลยได้กู้เงินและยังไม่ได้ชำระจริงดังฟ้อง แต่โจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิทางศาลฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ การที่จำเลยโอนที่ดินให้แก่บุคคลอื่นไปจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องในทางแพ่งให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้รายนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยต่างอ้างพยานหลักฐานในคดีอาญา แล้วไม่สืบพยาน ศาลฎีกาเห็นว่าในการพิจารณาคดีอาญานั้น ศาลได้หยิบยกประเด็นที่ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปหรือไม่ขึ้นมาวินิจฉัยก่อนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์และค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้องแล้วจึงวินิจฉัยต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นการโกงเจ้าหนี้หรือไม่ ฉะนั้น ประเด็นที่ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยในคดีอาญา เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีแพ่งให้จำเลยชำระเงินกู้และดอกเบี้ยรายเดียวกันนี้ จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีแพ่งนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ยังคงค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินไป 2 คราว รวมเป็นเงิน 7,500 บาท จำเลยค้างดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,175 บาท ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ในวันศาลชั้นต้นนัดพร้อม โจทก์จำเลยแถลงว่าคดีนี้ข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องกับคดีแดงที่ 711/2506 และ 709/2506 ของศาลจังหวัดลำพูน พยานหลักฐานส่วนมากของคดีนี้ ทั้งสองฝ่ายได้อ้างและนำสืบไว้ในคดีอาญาทั้งสองแล้ว ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์แถลงว่าไม่ติดใจสืบพยานบุคคล ขอให้ศาลฟังข้อเท็จจริงจากคดีแดงทั้งสอง และขอให้ศาลนำสำนวนทั้งสองมาเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ จำเลยแถลงไม่คัดค้าน และจำเลยอ้างตัวเองเป็นพยาน และอ้างคำเบิกความของจำเลยที่เบิกความไว้ในคดีแดงทั้งสองเป็นพยานแล้วไม่ติดใจสืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังพยานหลักฐานโจทก์ในคดีอาญาแดงที่711/2506 ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามฟ้อง พิพากษาให้จำเลยชำระเงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 711/2506 มีประเด็นโดยตรงว่า จำเลยได้โกงเจ้าหนี้หรือไม่ และคดีอาญาแดงที่ 709/2506 มีประเด็นโดยตรงว่า จำเลยได้เอาความอันเป็นเท็จมาฟ้องต่อศาลหรือไม่ส่วนจำเลยจะกู้เงินโจทก์ไปจริงหรือไม่ มิใช่ประเด็นโดยตรง ทั้งคดีนี้ไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 ศาลจึงไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อโจทก์มิได้นำพยานมาสืบ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กู้เงินไปตามโจทก์ฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 711/2506 หาว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 2 คราว รวมเป็นเงิน 7,500 บาท จำเลยค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยและกลับโอนที่ดิน 1 แปลงให้นางสาวอำไพ เป็นการโกงเจ้าหนี้ จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่าสัญญากู้ทั้ง 2 ฉบับเป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่ได้กู้ ไม่ได้รับเงิน แล้วจำเลยกลับฟ้องโจทก์ในทางอาญาหาว่าปลอมหนังสือ และใช้หนังสือปลอม โจทก์จึงฟ้องจำเลยอีกสำนวนหนึ่งหาว่าจำเลยฟ้องเท็จตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 709/2506 คดีทั้งสองถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 2 คราวตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้าง และจำเลยยังมิได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในคดีอาญาแดงที่ 711/2506 มีประเด็นโดยตรงว่าจำเลยได้โกงเจ้าหนี้หรือไม่ และคดีอาญาแดงที่ 709/2506มีประเด็นโดยตรงว่าจำเลยได้เอาความเท็จมาฟ้องต่อศาลหรือไม่ ส่วนจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะในคดีอาญาทั้งสองนั้น ศาลฎีกาได้ยกประเด็นว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อน เมื่อวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง และค้างชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามฟ้องแล้วจึงได้วินิจฉัยต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นการโกงเจ้าหนี้หรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัย การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามคดีนี้ขอให้ชำระเงินกู้และดอกเบี้ยรายเดียวกัน จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ฉะนั้น ในการพิพากษาคดีนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 711/2506 และ 709/2506 ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ยังคงค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น