แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตามหนังสือสัญญาซื้อขายระบุว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อได้ชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่ พ. ซึ่งเป็นผู้ขายไป 2,000,000 บาท ครบถ้วนแล้ว และ พ. ให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่วันทำสัญญา แต่จากคำเบิกความของโจทก์ได้ความว่าโจทก์ชำระราคาไปเพียง 1,000,000 บาท ส่วนที่เหลือชำระเมื่อโอนชื่อกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งโจทก์อธิบายว่าที่ดินพิพาทไม่มีเอกสารสิทธิแต่มีใบ ภ.บ.ท. 5 ที่ พ. และ จ. นำมาให้ดูว่าเป็นหลักฐานแสดงการครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงตกลงซื้อ ที่โจทก์เบิกความถึงการโอนชื่อ จึงหมายถึงการเปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ในเอกสารดังกล่าวมาเป็นชื่อของโจทก์ ดังที่ได้ความจาก พ. ว่า วันที่ไปโอนที่ดินพิพาทที่ซื้อจาก น. ได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีที่ดินในใบ ภ.บ.ท. 5 มาเป็นชื่อของ พ. ดังนี้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ฝ่าย พ. ผู้จะขายไม่ติดใจเรียกร้องให้โจทก์ผู้จะซื้อชำระราคาส่วนที่เหลือจะถือว่าฝ่าย พ. สละการครอบครองในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหากโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็เป็นการครอบครองแทนฝ่าย พ. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันขนย้ายทรัพย์สินพร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้โจทก์มีสิทธิรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 24,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 24,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าขาดประโยชน์เดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ คำขออื่นให้ยก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างอ้างสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง เนื่องจากจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ นายสายันต์ นายเปรื่อง นางนวลจันทร์ และนายพินิจ เป็นพยานเบิกความถึงที่มาของที่ดินพิพาทได้ความว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางน้อย มารดาของจำเลยที่ 2 ในปี 2531 นายพินิจและนางนวลจันทร์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางน้อย ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ แต่นายพินิจไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ต่อมานายพินิจทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ เห็นว่า ตามหนังสือสัญญาซื้อขายดังกล่าวระบุว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อได้ชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่นายพินิจซึ่งเป็นผู้ขายไป 2,000,000 บาท ครบถ้วนแล้ว และนายพินิจให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่วันทำสัญญา แต่จากคำเบิกความของโจทก์ได้ความว่า โจทก์ชำระราคาไปเพียง 1,000,000 บาท ส่วนที่เหลือชำระเมื่อโอนชื่อกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งโจทก์อธิบายว่าที่ดินพิพาทไม่มีเอกสารสิทธิแต่มี ใบ ภ.บ.ท. 5 ที่นายพินิจและนางนวลจันทร์นำมาให้ดูว่าเป็นหลักฐานแสดงการครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์จึงตกลงซื้อ ที่โจทก์เบิกความถึงการโอนชื่อ จึงหมายถึงการเปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ในเอกสารดังกล่าวมาเป็นชื่อของโจทก์ ดังที่ได้ความจากนายพินิจว่า วันที่ไปโอนที่ดินพิพาทที่ซื้อจากนางน้อยได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีที่ดินในใบ ภ.บ.ท. 5 มาเป็นชื่อของนายพินิจ ดังนี้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าฝ่ายนายพินิจผู้จะขายไม่ติดใจเรียกร้องให้โจทก์ผู้จะซื้อชำระราคาส่วนที่เหลือจะถือว่าฝ่ายนายพินิจสละการครอบครองในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท หากโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็เป็นการครอบครองแทนฝ่ายนายพินิจ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น และเนื่องจากจำเลยทั้งสองไม่ได้ฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพากษาเป็นของจำเลยทั้งสอง เพียงแต่อ้างมาเป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดตามฟ้องเท่านั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในส่วนที่ว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ