คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2547

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ปริมาณที่กำหนดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม แต่ไม่เกินยี่สิบกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามมาตรา 66 วรรคสอง มีโทษทั้งจำคุกและปรับ ซึ่งตามมาตรา 100/1 กำหนดให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ โดยคำนึงถึงการลงโทษในทางทรัพย์สินเพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ทั้งโทษปรับเป็นโทษชนิดหนึ่ง ดังนั้น การเพิ่มโทษที่จะลงแก่จำเลยตามมาตรา 97 จึงต้องเพิ่มโทษทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2546 เวลากลางวันจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 จำนวน 100 เม็ด น้ำหนัก 9.400 กรัม คำนวณน้ำหนักเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.260 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เหตุเกิดที่ตำบลจอมบึงอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เจ้าพนักงานจับจำเลยและยึดเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของกลาง ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2543 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 12 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 36/2543 ของศาลชั้นต้น และพ้นโทษเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม2543 จำเลยกลับมากระทำความผิดคดีนี้ภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 สั่งริบเมทแอมเฟตามีนของกลางและเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย

จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษมาแล้วจริงตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคสาม (2)), 66 วรรคสอง จำคุก 8 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กึ่งหนึ่ง รวมจำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี และปรับ 200,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังเกินกว่า 1 ปีแต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สมควรใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษแก่จำเลยสถานเบาหรือไม่ เห็นว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวนถึง 100 เม็ด น้ำหนัก9.40 กรัม คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 2.260 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เพราะหากสามารถแพร่ระบาดออกไปได้ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบสุขของสังคมและเศรษฐกิจของชาติ ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาก่อน ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำคุก 8 ปี และปรับจำเลย ก่อนเพิ่มและลดโทษให้นั้น เป็นการเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง โทษสำหรับความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ปริมาณที่กำหนดตามมาตรา 15 วรรคสาม แต่ไม่เกินยี่สิบกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 66 วรรคสอง มีโทษทั้งจำคุกและปรับ ซึ่งตามมาตรา 100/1 กำหนดให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ โดยคำนึงถึงการลงโทษในทางทรัพย์สิน เพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ทั้งโทษปรับเป็นโทษชนิดหนึ่ง ดังนั้น การเพิ่มโทษที่จะลงแก่จำเลยตามมาตรา 97 จึงต้องเพิ่มโทษทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ การที่ศาลล่างทั้งสองเพิ่มโทษจำคุกแก่จำเลยเพียงอย่างเดียวโดยไม่เพิ่มโทษโดยปรับด้วย จึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาปัญหานี้ ศาลฎีกาจึงไม่อาจเพิ่มโทษปรับที่จะลงแก่จำเลยให้สูงกว่าโทษปรับที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาเพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212ประกอบมาตรา 225

พิพากษายืน

Share