แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ให้จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชี จำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีหลายครั้งเพื่อหักกลบลบหนี้กัน ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด
การที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยนำเงินส่งเข้าบัญชีเพื่อลดยอดเงินที่เบิกเกินบัญชีทั้งหมดภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันรับหนังสือ มิฉะนั้นโจทก์จะดำเนินคดีแก่จำเลย เช่นนี้ เป็นการบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยมีผลให้สัญญาเลิกกันเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันรับหนังสือแล้ว หลังจากสัญญาเลิกกันแล้วธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้ คงคิดดอกเบี้ยโดยวิธีธรรมดาได้เท่านั้น
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่1ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่โจทก์ในวงเงินสองแสนบาท ในสัญญาค้ำประกันข้อ 6 ระบุไว้ว่า จำเลยที่ 2 จะจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 94029 เป็นประกัน แล้วต่อมาจำเลยที่ 2 ก็ทำสัญญาจำนองที่ดินโฉนดดังกล่าวแก่โจทก์โดยระบุในสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองว่าเพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่เป็นหนี้โจทก์จำนวนเงินไม่เกินสองแสน บาท ดังนี้ทั้งสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองต่างเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ในวงเงินสองแสนบาทรายเดียวกัน หาใช่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเป็นผู้ค้ำประกันฐานะหนึ่ง และต้องรับผิดตามสัญญาจำนองอีกฐานะหนึ่งไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ในวงเงินไม่เกินสองแสนบาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยทบต้น จำเลยที่ ๒ เข้าค้ำประกันจำเลยที่ ๑ และทำสัญญาจำนองที่ดินเพื่อเป็นประกันหนี้การเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ ๑ เป็นเงินสองแสนบาท จำเลยที่ ๑ ได้กู้เบิกเงินเกินบัญชีไปถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓๒๒,๙๔๐.๐๓ บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ชำระก็ขอบังคับจำนองโดยขายทอดตลาดที่ดินที่จำนอง
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้หลายประการและต่อสู้ว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาการกู้เงินแล้ว จึงคิดดอกเบี้ยตามประเพณีของธนาคารไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๓๐๔,๕๗๙.๘๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เว้นแต่จำเลยที่ ๒ ให้รับผิดในต้นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ ๑ ได้ตลอดไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะชำระหนี้ให้โจทก์จนเสร็จได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ กู้เบิกเงินเกินบัญชีและจำเลยที่ ๑ได้นำเงินชำระหนี้ให้โจทก์หลายครั้งเพื่อหักทอนบัญชีหนี้ หักกลบลบกัน จึงมีลักษณะเป็นบัญชีเดินสะพัด เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๒ ไปยังจำเลยที่ ๑ ว่าให้จำเลยที่ ๑ นำเงินส่งเข้าบัญชีลดยอดเงินที่เบิกเกินบัญชีให้หมดสิ้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันรับหนังสือ มิฉะนั้นโจทก์จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ ๑ เช่นนี้เป็นการบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดแก่จำเลยที่ ๑ มิใช่บัญชีเดินสะพัดยังไม่เลิกแล้วต่อกันดังโจทก์ฎีกา เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาดังกล่าวของโจทก์ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๒๒ จึงมีผลว่าสัญญาดังกล่าวเลิกกันตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๒๒ เป็นต้นไป ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ ๑ ถึงวันที่ ๒๘ตุลาคม ๒๕๒๒ เท่านั้น และต่อจากนั้นไปโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีตามวิธีธรรมดาตลอดไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จ
ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์เต็มตามฟ้องของโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.๔ เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวนไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทตามเอกสารหมาย จ.๓ และในสัญญาค้ำประกันข้อ ๖ ระบุไว้ว่าจำเลยที่ ๒ จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔๐๒๙ เป็นประกัน แล้วต่อมาจำเลยที่ ๒ ก็ไปจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔๐๒๙ ไว้แก่โจทก์ โดยระบุในสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองว่าเพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ที่เป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้จึงเห็นว่าจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองดังกล่าวข้างต้นรับผิดต่อโจทก์ในต้นเงินไม่เกินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐บาท หาใช่จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดเป็นผู้ค้ำประกันฐานะหนึ่งและสัญญาจำนองอีกฐานะหนึ่งโดยจำเลยที่ ๒ ต้องชำระหนี้ และดอกเบี้ยทบต้นเต็มตามฟ้องดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน