แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่พิพาทบางส่วนของโจทก์ได้ 1 เดือน 4 วัน แล้วจำเลยที่ 1 ไปแจ้งการครอบครองว่าที่พิพาทเป็นของตน ต่อมาอีก 1 เดือน 8 วัน จำเลยที่ 1 ยื่นคำของรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท การยื่นคำขอต่อนายอำเภอเพียงเท่านี้แม้โจทก์ทราบและคัดค้าน ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้บอกกล่าวไปยังโจทก์แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าต่อไป จำเลยหาได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ไม่
เมื่อโจทก์คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์หรือได้กระทำอย่างใดในทางที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ แม้จำเลยทั้งสองจะยังคงครอบครองที่พิพาทเรื่อยมาก็ถือว่า จำเลยได้ครอบครองแทนโจทก์ตามสัญญาเช่า ซึ่งยังไม่สิ้นอายุการเช่านั้นเอง ไม่ถือว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองอันจะต้องฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ ๑๘ ไร่ จำเลยทั้งสองร่วมกันเช่าทำไร่อ้อยประมาณ ๑๐ ไร่ มานานหลายปี จำเลยขอผัดชำระค่าเช่าแล้วผิดนัด และอ้างว่าที่ดินส่วนที่จำเลยเช่ากับส่วนที่ผู้อื่นเช่าจากโจทก์เป็นของจำเลยที่ ๑ ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้ชำระค่าเช่า ดอกเบี้ย และค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทจำเลยที่ ๑ ได้หักร้างทำเป็นนา ครอบครองเป็นเจ้าของมากว่า ๒๐ ปี จำเลยที่ ๑ได้แจ้งการครอบครองและปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ยื่นคำของรับรองการทำประโยชน์ แต่ได้ครอบครองเรื่อยมา จำเลยทั้งสองเช่าที่ดินอื่นของโจทก์คนละแปลง โจทก์ให้ลงชื่อในแบบฟอร์มหนังสือสัญญาเช่าไม่ได้กรอกข้อความไว้คนละฉบับ ทำนาที่เช่าไม่ได้ผล โจทก์ไม่เก็บค่าเช่า จำเลยทั้งสองเลิกเช่าคืนที่ดินให้โจทก์แล้วแต่โจทก์ไม่คืนหนังสือสัญญาเช่าให้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาท ให้ร่วมกันชำระค่าเช่าดอกเบี้ย และค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่พิพาทบางส่วนของโจทก์เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๑๒ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ค่าเช่าไร่ละ ๑๐๐ บาทต่อปี สิ้นอายุการเช่าวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๔ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๑๒ หลังทำสัญญาเช่าเพียง ๑ เดือน ๔ วัน แล้วจำเลยที่ ๑ ไปแจ้งการครอบครองว่าที่พิพาทเป็นของตน วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๑๒ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำของรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท แล้ววินิจฉัยว่า การยื่นคำขอต่อนายอำเภอเพียงเท่านี้แม้โจทก์ทราบและคัดค้านไว้แล้วก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้บอกกล่าวไปยังโจทก์แล้วว่าจำเลยที่ ๑ ไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าต่อไป จำเลยที่ ๑ หาได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ ไม่ เมื่อโจทก์ได้ให้นายชุบ ศรีทา ลูกค้าไปคัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้โต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์หรือได้กระทำอย่างใดในทางที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ เห็นได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จริงตามคำคัดค้าน แม้จำเลยทั้งสองจะยังคงครอบครองที่พิพาทเรื่อยมาก็ถือว่า จำเลยได้ครอบครองแทนโจทก์ตามสัญญาเช่า ซึ่งยังไม่สิ้นอายุการเช่านั้นเอง ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองอันจะต้องฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
พิพากษายืน