แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 นั้น เจ้าหนี้จะต้องใช้สิทธิทางศาลให้ชำระหนี้แล้วอย่างหนึ่ง หรือว่าจะใช้สิทธิทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้อีกอย่างหนึ่งเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย ฉะนั้น เมื่อเจ้าหนี้ยังไม่ได้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่ง หรือการที่เจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีอาญา ก็เพียงเพื่อให้ลูกหนี้หาประกันมาให้เจ้าหนี้เป็นที่พอใจแล้วจะไม่เอาเรื่องแก่ลูกหนี้ อันเป็นการแสดงว่าเจ้าหนี้ยังจะไม่ใช้สิทธิทางศาลเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว การที่ลูกหนี้โอนที่ดินให้ผู้อื่นไป จึงยังไม่ผิดฐานโกงเจ้าหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๒ คราว คราวแรก ๗,๐๐๐ บาท เมื่อ ๑๒ เมษายน ๒๔๙๙ คราวที่ ๒ เงิน ๕๐๐ บาท เมื่อ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๐๐ จำเลยชำระดอกเบี้ยให้ทุกเดือน จนเดือนมกราคม ๒๕๐๕ จำเลยจึงผิดนัด โจทก์ทวงถาม จำเลยก็ผัดผ่อน โจทก์เตือนให้เอาใบไต่สวน และแบบ ส.ค.๑ ไปขอรับโฉนดมาให้โจทก์ยึดถือ จำเลยก็ว่ายังรับไม่ได้ โจทก์สอบถามพนักงานที่ดินจึงทราบว่าจำเลยทั้งสองร่วมกัน โดยจำเลยที่ ๑ แจ้งเท็จต่อพนักงานอำเภอ เจ้าพนักงานที่ดินว่าใบไต่สวนและแบบ ส.ค.๑ หาย ขอใบแทน อำเภอออกใบแทนให้ จำเลยที่ ๑ ก็นำใบแทนไปขอรับโฉนดจากเจ้าพนักงานที่ดินแล้วโอนให้จำเลยที่ ๒ จำเลยทำไปเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ ได้รับชำระหนี้ ทั้งเป็นการยักย้ายซ่อนเร้นทรัพย์ของจำเลยจำเลยไม่มีหลักทรัพย์อย่างอื่นอีก จึงเจตนาฉ้อโกงโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐,๘๓
ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ ว่าสัญญากู้ปลอมจำเลยเคยกู้เงินโจทก์เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ แต่ก็ใช้แล้ว จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินให้จำเลยที่ ๒ โดยทุจริต ฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดลำพูนวินิจฉัยว่า จำเลยกู้เงินโจทก์โดยมอบใบไต่สวนและแบบ ส.ค.๑ ให้โจทก์ไว้เป็นประกัน แล้วจำเลยที่ ๑ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ ๒ เป็นการโกงเจ้าหนี้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ได้ว่ามีเจตนาโกงโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๑ พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ จำคุก ๔ เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้แก่ตน และจะถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้หาได้ไม่ การกระทำของจำเลยยังไม่ผิดมาตรา ๓๕๐ พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๑ ด้วย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์สืบข้อเท็จจริงได้ดังฟ้อง จึงแสดงว่าจำเลยที่ ๑ โอนที่ดินไปโดยไม่สุจริต แต่การที่จะผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ ตามที่โจทก์อ้างนั้น เจ้าหนี้จะต้องได้ใช้สิทธิทางศาลหรือจะใช้สิทธิทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย สำหรับคดีนี้ได้ความชัดว่า โจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิทางศาลฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ให้โจทก์เลย ส่วนข้อที่ว่าโจทก์จะใช้สิทธิทางศาลฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้ชำระหนี้เงินกู้หรือไม่นั้น ข้อนี้ตัวโจทก์เองก็เบิกความรับว่า เรื่องนี้โจทก์ไม่ได้ร้องเรียนต่อพนักงานสอบสวน และไม่ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งด้วย และถ้าหากว่าจำเลยหาประกันมาให้โจทก์เพียงพอ โจทก์ก็ไม่ติดใจเอาเรื่องแก่จำเลย ทั้งนี้ เป็นการแสดงอยู่ว่า โจทก์ยังจะไม่ใช้สิทธิทางศาลเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ ดังนั้น ถึงแม้จำเลยที่ ๑ จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ ๒ ไปแล้วก็ดี แต่การที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญาเรื่องนี้ขึ้นก็เพียงเพื่อให้จำเลยหาประกันมาให้โจทก์เท่านั้นเอง ซึ่งจำเลยอาจหาประกันอย่างอื่นมาให้เป็นที่พอใจของโจทก์ก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยจึงยังไม่มีความผิดตามมาตรา ๓๕๐
พิพากษายืน