แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พศ. 2517 มาตรา 4 บัญญัติว่า “นา” หมายถึงที่ดินซึ่งโดยสภาพใช้เป็นที่เพาะปลูกข้าวหรือพืชไร่ และคำว่า “พืชไร่” หมายความว่า พืชต้องการน้ำน้อยและมีอายุสั้นหรือสามารถเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ภายในสิบสองเดือน
จำเลยปลูกพืชจำพวกพริก หอม กระเทียม ผักกาด คะน้า มันเทศ ถั่วลิสง และมันแกวในที่พิพาท ไม่ได้ปลูกข้าว ที่พิพาททั้งสี่ด้านมีต้นมะม่วงปลูกอยู่โดยรอบ ส่วนในที่พิพาทยกเป็นร่อง ในร่องมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ บนร่องปลูกมันเทศ บางร่องมีต้นถั่วฝักยาว ปลูกอยู่ ที่พิพาทมีคันดินทั้ง 4 ด้าน สูงเกินศรีษะทำไว้เพื่อกันน้ำท่วม แสดงว่าพืชที่จำเลยปลูกบนร่องเป็นพืชที่ไม่ต้องการให้น้ำท่วม เป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อย พืชที่จำเลยปลูกจึงเป็นพืชไร่ตาม พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พศ. 2517 และที่ดินที่จำเลยปลูกพืชไร่ ย่อมถือว่าเป็นนา ตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยอาศัยที่ดินโจทก์ ขอให้ขับไล่
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินตามฟ้องเป็น นา ตาม พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๕๑๗ จำเลยเช่าที่นาดังกล่าวจากเจ้าของเดิม เพาะปลูกพืชไร่มีกำหนด ๖ ปี โจทก์ซื้อที่พิพาทจากเจ้าของเดิมในระหว่างอายุสัญญาเช่า โจทก์ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่จำเลยได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติดังกล่าว ก่อนขายนาพิพาทเจ้าของเดิมมิได้แจ้งให้จำเลยทราบตาม พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๕๑๗ ก่อนขอให้บังคับโจทก์ขายที่นาตามฟ้องแก่จำเลยในราคา ๘๔,๕๐๐ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นที่สวนมิใช่ที่นาตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๕๑๗ เจ้าของเดิมและโจทก์ไม่ต้องเสนอราคาที่จะขายแก่จำเลย ก่อนขายให้โจทก์ เจ้าของเดิมแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่ประสงค์จะซื้อ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่นา จำเลยเช่าที่พิพาทจากเจ้าของเดิมผู้จัดการมรดกของเจ้าของเดิมขายที่พิพาทให้แก่โจทก์และภรรยาโจทก์โดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยมีสิทธิซื้อที่พิพาทตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๕๑๗ แต่ปรากฏว่า ที่พิพาทนี้มีนางกิมลั้ง ภรรยาโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมและจำเลยมิได้ฟ้องแย้งนางกิมลั้งไว้ด้วย คดีจึงไม่อาจบังคับนางกิมลั้งได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ขายที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ กึ่งหนึ่งแก่ จำเลยในราคา ๔๒,๒๕๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คำว่า นาที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันนั้น พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๔ กำหนดว่า นา หมายความว่า ที่ดินซึ่งโดยสภาพใช้เป็นที่เพาะปลูกข้าวหรือพืชไร่ แสดงว่าที่ดินใดใช้ปลูกข้าวหรือพืชไร่ที่ดินนั้นย่อมถือว่าเป็น นา ตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว
จำเลยปลูกพืชจำพวกพริก หอม กระเทียม ผักกาด คะน้า มันเทศ ถั่วลิสง และมันแกว ไม่ได้ปลูกข้าว คดีคงมีปัญหาว่าพืชดังกล่าวเป็นพืชไร่หรือไม่ คำว่า พืชไร่ หมายความว่า พืชต้องการน้ำน้อยและมีอายุสั้นหรือสามารถเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ภายในสิบสองเดือน ศาลฎีกาเห็นพ้องตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า พืชไร่ตามความในมาตรา นี้คือ พืชไร่ ซึ่งต้องการน้ำน้อยและมีอายุสั้นอย่างหนึ่ง กับอีกอย่างหนึ่งคือพืชไร่ซึ่งต้องการน้ำน้อยสามารถเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ภายในสิบสองเดือน พืชทั้งสองอย่างเป็นพืชซึ่งต้องการน้ำน้อยเป็นหลัก
ส่วนข้อโต้เถียงของโจทก์ที่ว่า พืชต่างๆ ที่จำเลยปลูกในที่พิพาทดังกล่าว เป็นพืชซึ่งต้องการน้ำมาก โดยต้องรดน้ำทุกวันหากฝนไม่ตกนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาท ปรากฏว่ารอบ ๆที่พิพาททั้งสี่ด้าน มีต้นมะม่วงปลูกอยู่โดยรอบ สวนส่วนในที่พิพาทยกเป็นร่อง ในร่องมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ บนร่องปลูกมันเทศ บางร่องมีต้นถั่วฝักยาว ปลูกอยู่ ประกอบข้อเท็จจริงซึ่งได้ความจากจำเลยว่า ที่พิพาทมีคันดินทั้ง ๔ ด้าน สูงเกินศรีษะทำไว้เพื่อกันน้ำท่วม แสดงว่าพืชที่จำเลยปลูกบนร่องเป็นพืชที่ไม่ต้องการให้น้ำท่วม เป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อย หาใช่พืชซึ่งต้องการน้ำมากเพราะต้องรดน้ำทุกวัน หากฝนไม่ตกดังโจทก์ฎีกาไม่ พืชที่จำเลยปลูกจึงเป็นจำเลยปลูกพืชดังกล่าวในที่พิพาทเต็มทั้ง ๒๒ ไร่ ปลูกบนร่องทั้งหมด ๔๖ ร่อง ไม่ได้ใช้ที่บางส่วนปลูก จึงไม่ใช่พืชจำพวกสวนครัวดังโจทก์ฎีกา
พิพากษายืน