แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมแบ่งที่ดินให้โจทก์ 4 ไร่ เมื่อแบ่งแยกจำเลยจะลงชื่อโจทก์ในโฉนดโดยจะวัดจากทิศเหนือลงมาทางทิศใต้ ให้ได้จำนวนเนื้อที่ 4ไร่ศาลได้พิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว หากจำเลยไม่ยอมแบ่งที่ดินให้โจทก์ก็มีแต่เพียงสิทธิที่จะขอให้บังคับจำเลยให้แบ่งให้โจทก์เท่านั้นแม้จะรู้ว่าส่วนที่จะแบ่งให้โจทก์นั้นอยู่ทางทิศไหนเมื่อยังไม่ได้มีการรังวัดแบ่งแยกให้เป็นส่วนสัด ที่ดินส่วนนั้นก็ยังไม่ตกเป็นของโจทก์ ทั้งโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่ดินนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปไถดินและหว่านข้าวในที่ดินส่วนของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย ๓,๐๐๐ บาท และขับไล่จำเลยห้ามเกี่ยวข้อง และให้ใช้ค่าเสียหายต่อไปปีละ ๑,๕๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า ที่พิพาทยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของเด็กชายโกศล
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมนายเสริม นาคทับที ได้ฟ้องนางเปลี่ยน เล็กโสภีและนายจุ่น เล็กโสภี ตามคดีแพ่งแดงที่ ๓๘๕/๒๕๑๒ ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรีในคดีนั้นคู่ความได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลย(นางเปลี่ยน นายจุ่น) ยอมแบ่งที่ดินให้โจทก์ ๔ ไร่ เมื่อจำเลยแบ่งแยก จำเลยจะลงชื่อเด็กชายโกศล นาคทับที ในโฉนด จะวัดจากเหนือลงมาทางใต้ให้ได้จำนวนเนื้อที่ ๔ ไร่ และให้เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดแบ่งแยกศาลได้พิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ในขณะที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องต่อศาล ยังไม่ได้บังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยอยู่ในระหว่างโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยทำยอมแบ่งที่ดินซึ่งพิพาทกันให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่ยอมแบ่ง โจทก์ก็มีแต่เพียงสิทธิที่จะขอให้บังคับจำเลยให้แบ่งให้โจทก์เท่านั้น แม้จะรู้ว่าส่วนที่จะแบ่งให้โจทก์นั้นอยู่ทางทิศไหน เมื่อยังไม่ได้มีการรังวัดแบ่งแยกให้เป็นส่วนสัด ที่ดินส่วนนั้นก็ยังไม่ตกเป็นของโจทก์ ทั้งคดีนี้ก็ไม่ได้ความว่า โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์