คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคแรก เดิมและต้องบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงินซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118วรรคสอง เดิม และแม้ในกรณีเช่นนี้จะมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญต่างหากจากสัญญาซื้อขายก็ตาม ย่อมถือได้ว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินที่ทำกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงมีผลบังคับกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 624 เนื้อที่4 ไร่ 2 งาน 30 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ให้แก่โจทก์ในราคา 12,000 บาท โดยส่งมอบที่ดินให้โจทก์เข้าครอบครองทำกินและรับเงินค่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยต้องไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์แต่จำเลยยังไม่ได้ดำเนินการให้ โจทก์บอกกล่าวจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ได้ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ความจริงจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ซึ่งเป็นญาติกัน12,000 บาท โดยตกลงให้โจทก์เข้ากรีดยางพาราเป็นการทำกินต่างดอกเบี้ย โจทก์ขอให้จำเลยทำเป็นสัญญาซื้อขายเพื่อหลีกเลี่ยงหลักศาสนาอิสลามที่ห้ามเรียกดอกเบี้ยและเพื่อมิให้เจ้าหนี้อื่นของจำเลยมายึดที่ดินแปลงนี้ สัญญาซื้อขายตามฟ้องเป็นโมฆะเพราะเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงินจึงต้องบังคับกันตามสัญญากู้ยืมเงิน กล่าวคือจำเลยต้องคืนเงิน 12,000 บาท ให้แก่โจทก์และโจทก์ต้องคืนที่ดินพิพาทและ น.ส.3 ก. ให้แก่จำเลย จำเลยเคยนำเงิน 12,000 บาทไปชำระแก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับ ขอให้พิพากษายกฟ้องและบังคับให้โจทก์รับเงิน 12,000 บาท จากจำเลยพร้อมทั้งส่งมอบน.ส.3 ก. เลขที่ 624 ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลาคืนแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้กู้ยืมเงินโจทก์ความจริงเป็นเรื่องซื้อขายที่ดินกันตามที่โจทก์ฟ้องเหตุที่ไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขายทันทีเพราะจำเลยรีบใช้เงินแต่จำเลยตกลงว่าจะจดทะเบียนการซื้อขายให้ในภายหลัง ขอให้พิพากษายกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้โจทก์รับเงิน 12,000บาท จากจำเลยพร้อมทั้งให้โจทก์ส่งมอบ น.ส.3 ก.เลขที่ 624ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา คืนแก่จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติในเบื้องต้นว่า เดิมที่ดินพิพาทมี น.ส.3 ก.เลขที่ 624 ตำบลสำนักแต้วอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 4 ไร่เศษ เป็นของจำเลยต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยและโจทก์ได้ลงชื่อในสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวโดยระบุว่าจำเลยขายให้แก่โจทก์ในราคา 12,000 บาท โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและได้รับมอบ น.ส.3 ก. จากจำเลยตั้งแต่วันทำสัญญา มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์เพียงว่าตามสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นการซื้อขายที่ดินพิพาทกันจริงหรือเป็นสัญญาอำพรางการกู้ยืมเงินซึ่งจำเลยกู้ยืมจากโจทก์แล้วมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักว่าพยานหลักฐานของโจทก์ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 เป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงินนิติกรรมการซื้อขายจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118วรรคแรก เดิม (มาตรา 155 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่) และต้องบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงินซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคสอง เดิม(มาตรา 155 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่) และแม้ในกรณีเช่นนี้จะมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญต่างหากจากสัญญาซื้อขายก็ตามย่อมถือได้ว่าสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 เป็นนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินที่ทำกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างจำเลยกับโจทก์ จึงมีผลบังคับกันได้ เมื่อปรากฎว่าจำเลยยอมชำระเงินที่กู้ยืมคืนแก่โจทก์ โจทก์ต้องคืนที่ดินพิพาทและน.ส.3 ก. ให้แก่จำเลย
พิพากษายืน

Share