แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้การที่โจทก์ทำหนังสือมอบสิทธิการรับเงินฝากให้ไว้แก่ธนาคารผู้ให้กู้จะมิใช่การค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา680ก็ตามแต่เป็นเรื่องความตกลงกันในทางฝากเงินเพื่อเป็นประกันหนี้อันเป็นสัญญาอีกรูปแบบหนึ่งเมื่อจำเลยยอมรับว่าโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยและจำเลยรับจะชำระเงินคืนให้โจทก์จำเลยจึงต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ตามข้อสัญญาที่โจทก์และจำเลยได้ตกลงไว้ ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์อยู่ในฐานะผู้ค้ำประกันอันจะรับช่วงสิทธิมาฟ้องไล่เบี้ยจำเลยได้นั้นกรณีเป็นการสำคัญผิดในฐานะของโจทก์ซึ่งมิใช่ข้อสาระสำคัญเนื่องจากโจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องอย่างชัดเจนว่าโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยและขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระหนี้ที่โจทก์ชำระแทนไปมิใช่ให้จำเลยชำระหนี้คืนโจทก์เพราะเหตุโจทก์รับช่วงสิทธิจากธนาคารผู้ให้กู้มาฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยเมื่อคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งถึงข้อเท็จจริงที่ปรากฎอย่างใดแล้วย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องว่าโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินคืนในฐานะใดตามกฎหมายหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด มีโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันโดยโจทก์ทำหนังสือมอบสิทธิการรับฝากเงินตามบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์ประเภทสมุดคู่ฝากและประเภทใบรับเงินฝากให้ไว้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดโจทก์ได้ชำระหนี้แทนจำเลยตามที่จำเลยค้างชำระแล้ว โจทก์ใช้สิทธิไล่เบี้ยจำเลยแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 222,562.54 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด ตามฟ้อง แต่การที่โจทก์ทำหนังสือมอบสิทธิการรับเงินฝากตามบัญชีเงินฝากประจำให้ไว้แก่ธนาคารเป็นการจำนำสิทธิมีตราสาร หาใช่เป็นการค้ำประกันไม่ เพราะโจทก์มิได้ผูกพันเพื่อชำระหนี้หากจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกัน และการที่โจทก์ชำระเงินแทนจำเลยตามจำนวนที่จำเลยยังค้างชำระแก่ธนาคารตามข้อตกลงที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันนั้น จำเลยตกลงจะผ่อนชำระเงินคืนแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ5,000 บาท ซึ่งจำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์ตามข้อตกลงโดยการโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์ครั้งละ 5,000 บาท จนกระทั่งโจทก์ขาดการติดต่อกับจำเลย โจทก์จึงต้องบังคับจำเลยตามข้อตกลงดังกล่าว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์มีฐานะเป็นผู้จำนำแต่บรรยายฟ้องว่าเป็นผู้ค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 217,562.54 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาในประการต่อมาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไปจำนวน 222,562.54 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์เพราะโจทก์ไม่อยู่ในฐานะผู้ค้ำประกันอันจะรับช่วงสิทธิมาฟ้องไล่เบี้ยจำเลยได้ เห็นว่าแม้การที่โจทก์ทำหนังสือมอบสิทธิการรับเงินฝากให้ไว้แก่ธนาคารผู้ให้กู้จะมิใช่การค้ำประกันตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 ก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องความตกลงกันในทางฝากเงินเพื่อเป็นประกันหนี้อันเป็นสัญญาอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อจำเลยให้การและนำสืบยอมรับว่า การที่โจทก์ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้ให้กู้แทนจำเลยเป็นเพราะจำเลยขอร้องให้โจทก์ชำระแทนและจำเลยรับว่าจะชำระเงินคืนให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปตามที่จำเลยขอร้อง และธนาคารผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยก็ยอมรับชำระหนี้แล้วจำเลยจึงต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ตามข้อสัญญาที่โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันไว้ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์อยู่ในฐานะผู้ค้ำประกันอันจะรับช่วงสิทธิมาฟ้องไล่เบี้ยจำเลยได้นั้น เห็นว่า เป็นกรณีการสำคัญผิดในฐานะของโจทก์ซึ่งมิใช่ข้อสาระสำคัญ เพราะโจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องอย่างชัดเจนว่า โจทก์ได้ชำระเงินกู้ที่จำเลยค้างชำระแทนจำเลยและขอศาลบังคับให้จำเลยชำระหนี้ที่โจทก์ชำระแทนไปดังกล่าวมิใช่ให้จำเลยชำระหนี้คืนโจทก์เพราะเหตุธนาคารผู้ให้กู้ใช้สิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์มาชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยแล้วโจทก์รับช่วงสิทธิมาฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยแต่อย่างใดฎีกาจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
จำเลยฎีกาในประการสุดท้ายว่า ศาลไม่มีอำนาจหน้าที่ปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องว่าโจทก์เรียกให้จำเลยใช้เงินคืนในฐานะใดเพราะการพิพากษาเกินคำขอ ขัดกับมาตรา 142แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เห็นว่า เมื่อคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งถึงข้อเท็จจริงที่ปรากฎอย่างใดแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องว่าโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินคืนในฐานะใดตามกฎหมายหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอดังฎีกาจำเลยไม่”
พิพากษายืน