แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การ และที่ได้ความจากการสอบถามโจทก์จำเลยมานั้นพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องทำการสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีโดยฟังว่าการกระทำของจำเลยเท่าที่ปรากฏไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำละเมิด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานดังกล่าว เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 เมื่อโจทก์มีโอกาสโต้แย้งคำสั่งดังกล่าว แต่ไม่ได้โต้แย้งไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนี้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงบางประการจากคู่ความ เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเท่าที่ปรากฏยังไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาว่าโจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานหรือไม่ คดีนี้ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยาน ศาลชั้นต้นได้สอบข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การ และที่ได้ความจากการสอบถามโจทก์จำเลยมานั้น พอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องทำการสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีโดยฟังว่าการกระทำของจำเลยเท่าที่ปรากฏไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำละเมิด ไม่ต้องรับผิดคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานดังกล่าว เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 หากโจทก์เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานนั้นไม่ชอบ ยังมีข้อเท็จจริงที่โจทก์ควรจะต้องสืบพยานของตนต่อไป เพื่อแสดงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จงใจละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายเนรมิตร ก็ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ คดีปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2520 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 11 เดือนเดียวกัน โดยที่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ และระยะเวลาตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานถึงวันนัดฟังคำพิพากษา โจทก์มีโอกาสที่จะโต้แย้งคำสั่งได้ แต่หาได้โต้แย้งไว้ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนี้”
พิพากษายืน