คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิดากู้เงินเขามาและมอบนาให้เขาทำต่างดอกเบี้ยเงินกู้ บุตรมาฟ้องขอชำระเงินกู้และขอนาคืนโดยอ้างว่าบิดาตายแล้ว บุตรเป็นทายาทผู้รับมรดก ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าบิดายังมีชีวิตอยู่ อำนาจฟ้องคดีของบุตรก็หมดไป บิดาจะขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยก็ไม่ได้ เพราะฟ้องเดิมใช้ไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีฟ้องที่สมบูรณ์ซึ่งบิดาจะร่วมเป็นโจทก์ด้วยได้
อำนาจฟ้องเช่นนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นพิจารณาเองได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5)

ย่อยาว

คดีนี้ นายเกิดเป็นโจทก์ฟ้องว่า นายขำบิดาโจทก์กู้เงินจำเลยไป 300 บาท แต่ในหนังสือกู้ลงไว้ 700 บาท เอานาพิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย บัดนี้นายขำบิดาโจทก์ตาย โจทก์เป็นทายาท ขอไถ่จำเลยไม่ยอม จึงมาฟ้อง ขอชำระหนี้ และนาคืน

จำเลยต่อสู้ว่า นายขำกู้เงินจำเลย เอานาให้ทำต่างดอกเบี้ยจริง แต่สัญญาว่าครบ 3 ปีแล้ว ไม่ไถ่ให้นาเป็นสิทธิแก่จำเลยครบกำหนดแล้วไม่ไถ่ จำเลยปกครองนาพิพาทมือเปล่ามาหลายปีแล้ว

ปรากฏว่า นายขำบิดาโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ ได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม จำเลยคัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตแล้วพิจารณาคดีไปจนเสร็จสำนวน พิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรับเงินกู้ และคืนนาแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า นายเกิดเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ได้ ก็โดยในฐานะเป็นทายาทผู้รับมรดกนายขำบิดา แต่เมื่อปรากฏว่าความจริงนายขำยังมีตัวอยู่ อำนาจฟ้องคดีนี้ของนายเกิดก็หมดไป นายขำจะขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วยไม่ได้ เพราะเมื่อฟ้องเดิมใช้ไม่ได้แล้วก็ไม่มีฟ้องที่สมบูรณ์ ซึ่งนายขำจะร่วมเป็นโจทก์ด้วยได้ แม้จำเลยจะมิได้ยกความข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ฎีกาก็ดี แต่เรื่องอำนาจฟ้องเช่นนี้ เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นพิจารณาเองได้ โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5)

จึงพร้อมกันพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share