คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้เลียนแบบลายกนกสลากปิดผ้าโสร่งของจำเลยที่ 1 โดยจงใจที่จะลวงประชาชนให้หลงเชื่อว่าสินค้าผ้าโสร่งของโจทก์เป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เสียหาย การที่จำเลยนำสลากปิดผ้าของจำเลยที่ 1 ปิดในใบปลิวซึ่งประทับตราห้างของจำเลยที่ 1 คู่กับสลากปิดผ้าของโจทก์ เขียนข้อความข้างสลากของจำเลยที่ 1 ว่า “แท้” ข้างสลากของโจทก์ว่า “เทียม” และทำเครื่องหมายกากบาทไว้บนสลากของโจทก์ด้วย ส่งไปให้ประชาชนและร้านค้าผ้า เพียงเพื่อให้ผู้รับใบปลิวเข้าใจได้ถูกต้องวา สลากปิดผ้าของจำเลยที่ 1 คือสลากปิดผ้าที่มีคำว่า “แท้” อยู่ข้าง ๆ ส่วนสลากปิดผ้าที่มีคำว่า “เทียม” อยู่ข้าง ๆ นั้นเป็นสลากของเทียม ไม่ใช่ของแท้ของจำเลยที่ 1 เป็นการเกี่ยวกับสลากปิดผ้าของจำเลยที่ 1 ไปตามความจริงเพื่อให้ผู้จะซื้อผ้าโสร่งปาเต๊ะของจำเลยที่ 1 ทราบจะได้เข้าใจถูกต้อง มิใช่เป็นการกล่าวทับถมว่าผ้าโสร่งปาเต๊ะของโจทก์มีคุณภาพเลวและไม่ควรซื้อแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ผลิตและขายผ้าโสร่งปาเต๊ะ และเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าตรา “คนคู่” ซึ่งใช้เป็นเครื่องหมายการค้าประจำผ้าโสร่งปาเต๊ะของโจทก์ โดยพิมพ์เป็นสลากโฆษณาคุณภาพติดหรือผนึกไว้บนผ้าโสร่งแต่ละผืน จำเลยจำหน่ายผ้าโสร่งปาเต๊ะเช่นกัน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ นำสลากติดผ้าโสร่งปาเต๊ะของโจทก์ไปติดคู่กับสลากโฆษณาผ้าโสร่งปาเต๊ะของจำเลยที่ ๑ ในกระดาษซึ่งประทับตราห้างเอมจิตต์ของจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๒ เขียนคำว่า “แท้” ไว้ข้างสลากโฆษณาผ้าโสร่งปาเต๊ะของจำเลยที่ ๑ และเขียนคำว่า “เทียม” ไว้ข้างสลากของโจทก์ พร้อมทั้งทำเครื่องหมายกากาบาทหรือเครื่องหมายผิดไว้บนสลากของโจทก์ โดยจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจคิดว่าสินค้าผ้าโสร่งปาเต๊ะที่ติดสลากของจำเลยที่ ๑ นั้น เป็นสินค้าที่แท้จริง ส่วนสินค้าผ้าโสร่งปาเต๊ะที่ติดสลากของโจทก์นั้นเป็นของเทียมหรือเลียนแบบ แล้วจำเลยทั้งสองได้นำกระดาษที่ติดสลากคู่กันดังกล่าวที่ได้ทำขึ้นเป็นจำนวนมากไปเผยแพร่แจกจ่ายแก่บรรรดาลูกค้าของโจทก์และจำเลยทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดพร้อมทั้งบอกกล่าวด้วยวาจาว่า สินค้าที่ติดสลากของโจทก์เป็นสินค้าเทียมเลียนแบบของจำเลย เป็นเหตุให้ลูกค้าของโจทก์เข้าใจผิดหลงเชื่อตามคำกล่าวและเอกสารที่จำเลยทำขึ้น พากันหยุดซื้อผ้าโสร่งปาเต๊ะตราคนคู่ของโจทก์ ทำให้จำนวนจำหน่ายลดลง ขาดกำไรถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท และเสียค่าโทรศัพท์ โทรเลข และจดหมายชี้แจงให้ประชาชนทราบเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของเครื่องหมายการค้าตรา “คนคู่” ปิดไว้บนผ้าโสร่งของโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำละเมิดดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ลูกค้าของโจทก์มิได้หยุดสั่งซื้อผ้าโสร่งปาเต๊ะตราคนคู่ของโจทก์โดยเข้าใจผิดว่าสินค้าของโจทก์เป็นของเทียม ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในเรื่องค่าเสียหาย จำเลยที่ ๑ ประกอบการค้าผ้าโสร่งปาเต๊ะเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้ส่งผ้าโสร่งเข้าประกวดในงานแสดงสินค้าไทย ได้รับประกาศนียบัตรกำกับเหรียญทองเป็นรางวัล จำเลยที่ ๑ จึงได้ย่อภาพประกาศนียบัตรดังกล่าวพิมพ์เป็นสลากปิดบนผ้าโสร่งปาเต๊ะของจำเลยที่ ๑ ออกจำหน่าย โจทก์ได้พิมพ์สลากเลียนประกาศนียบัตรดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ นำไปปิดบนสินค้าผ้าโสร่งปาเต๊ะของโจทก์ออกจำหน่าย จนเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของจำเลยที่ ๑ หากจะฟังว่าจำเลยกระทำดังกล่าวในฟ้องของโจทก์จริง จำเลยก็มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะเป็นการกล่าวป้องกันสิทธิของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๕๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท คำขอที่จำเลยทั้งสองโฆษณาขอขมาให้ยก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๐๐๐ บาท
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สลากปิดผ้าหมาย ล.๒ ของจำเลยที่ ๑ ย่อส่วนมาจากประกาศนียบัตรของหอการค้าไทยที่มอบให้จำเลยที่ ๑ (เอกสารหมาย บ.๑) สลากดังกล่าวประกอบด้วย ลายกนกสี่ด้านล้อมกรอบข้อความกับรูปธงชาติไทยห้อยชายในวงกลม รูปโล่ห์ซึ่งมีเรือใบอยู่ภายในทางมุมล่างซ้าย รูปฟันเฟือง ๓ อัน ทางมุมล่างขวา และข้อความว่า “ประกาศนียบัตรขอมอบให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอมจิตต์ไว้เป็นเกียรติและเป็นหลักฐานว่า ได้ผลิตผ้าพิมพ์ลายไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพเข้าขั้นมาตรฐาน สมควรได้รับเหรียญทองเป็นรางวัล ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๕ ในงานแสดงสินค้าไทย (ครั้งที่ ๖) ของหอการค้าไทย ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ นครหลวง” อันเป็นการแสดงที่มาและระบุชื่อของจำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นเจ้าของสลากไว้ชัดเจน ส่วนสลากปิดผ้าของโจทก์หมาย จ. ๒ นั้น มีขนาดกว้างยาวและลายกนกสี่ด้านล้อมกรอบกับข้อความกับรูปธงชาติไทยในวงกลมมีลักษณะห้อยชายเหมือนของจำเลยที่ ๑ โดยเฉพาะรูปโล่ห์ที่มีเรือใบอยู่ภายใน และรูปฟันเฟือง ๓ อัน มีลักษณะและวางรูปไว้ตรงที่เดียวกับของจำเลยที่ ๑ คงผิดกันเฉพาะข้อความในสลากของโจทก์มีว่า “รับรองคุณภาพผ้าเนื้อดีสีไม่ตก มีหลายลายให้ท่านเลือก สีสรรงามยิ่งนัก คุณภาพเป็นที่เชื่อถือได้ ชนทุกชั้นจึงนิยมใช้” เท่านั้น หาได้ระบุชื่อโจทก์หรือร้านฉัตรชัยพานิชของโจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของไว้ในสลากแต่อย่างใดไม่ แต่กลับมีลายเซ็นชื่อ “เอมจิตร” คล้ายชื่อของจำเลยที่ ๑ อยู่ใต้รูปโล่ห์ที่มีเรือใบอยู่ภายใน นายวิวัฒน์พยานโจทก์ว่าชื่อเอมจิตรเป็นชื่อของคนเขียนบล๊อก แต่ก็จำนามสกุลของนายเอมจิตรไม่ได้ และที่นายวิวัฒน์ว่าได้ถ่ายทำบล๊อกสลากหมาย จ. ๒ ใหม่เพื่อใช้พิมพ์สลากในตอนหลัง ได้ตบแต่งให้ชัดเจนขึ้นเหมือนบล๊อกเดิมทุกอย่างนั้น หากตบแต่งบล๊อกแล้วเหมือนเดิมจริง ก็จะมีรูปลายกนกเหมือนของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ การที่ตบแต่งแล้วเหมือนจำเลยที่ ๑ จึงเชื่อได้ว่าโจทก์ได้เลียนรูปลายกนกสลากปิดผ้าของจำเลยที่ ๑ โจทก์ว่า คนซื้อผ้าจะดูเนื้อผ้าดูตราในผ้าและดูสลากปิดผ้า ถ้าไม่มีสลากปิดผ้าจะขายไม่ได้ดี ดังนั้นสลากปิดผ้าจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการขายผ้า เมื่อสลากปิดผ้าของโจทก์มีแต่เพียงข้อความรับรองคุณภาพ ไม่ได้มีชื่อโจทก์หรือร้านฉัตรชัยพานิชของโจทก์อยู่ในสลาก ประชาชนผู้ซื้อทั่ว ๆ ไปจึงย่อมถือเอาขนาดของสลากรูปลายกนกต่าง ๆ ในสลากและสีของสลาก ว่าเป็นสลากปิดผ้าของใคร จึงอาจหลงผิดเป็นสลากปดผ้าของโจทก์ ซึ่งมีคำว่า “เอมจิตร” และรูปลายกนกเหมือนของจำเลยที่ ๑ เป็นสลากปิดผ้าของจำเลยที่ ๑ ได้ ทำให้เห็นว่าโจทก์จงใจที่จะลวงประชาชนผู้ซื้อให้หลงว่าสินค้าผ้าโสร่งปาเต๊ะของโจทก์ที่ปิดสลากหมาย จ. ๒ เป็นของจำเลยที่ ๑ ทำให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายขายผ้าได้น้อยลง ฉะนั้น การที่จำเลยนำสลากปิดผ้าของจำเลยที่ ๑ ปิดในใบปลิวหมาย จ. ๑ ซึ่งประทับตราห้างของจำเลยที่ ๑ คู่กับสลากปิดผ้าของโจทก์ เขียนขอความข้างสลากของจำเลยที่ ๑ ว่า “แท้” ข้างสลากของโจทก์ว่า “เทียม” และทำเครื่องหมายกากบาทไว้บนสลากของโจทก์ด้วย ส่งไปให้ประชาชนและร้านค้าผ้าก็เพียงเพื่อให้ผู้รับใบปลิวเข้าใจได้ถูกต้องว่า สลากปิดผ้าของจำเลยที่ ๑ เป็นการกล่าวเกี่ยวกับสลากปิดผ้าของจำเลยที่ ๑ ไปตามความจริงเพื่อให้ผู้จะซื้อผ้าโสร่งปาเต๊ะของจำเลยที่ ๑ ทราบ จะได้เข้าใจถูกต้อง มิใช่เป็นการกล่าวทับถมกันว่า ผ้าโสร่งปาเต๊ะของโจทก์มีคุณภาพเลวและไม่ควรซื้อแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่เสียหาย
พิพากษากลับ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share