แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่าพ่อค้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) ต้องถือตามความรู้สึกของประชาชนธรรมดาทั่วๆ ไป เข้าใจกัน คือหมายถึงบุคคลที่ประกอบการค้าโดยทำการซื้อสินค้ามาแล้วขายไปเป็นปกติธุระ ไม่หมายความถึงผู้ประกอบการค้า ซึ่งไม่ได้ทำการซื้อและขายสินค้า ธนาคารพาณิชย์ซึ่งประกอบกิจการตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ ไม่ใช่พ่อค้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปีตามบทมาตราดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องจำเลยให้การรับว่า ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าลงชื่อในฐานะกรรมการกระทำการแทนบริษัทนิติบุคคล ไม่มีเจตนาค้ำประกันเป็นส่วนตัว ตามคำให้การจำเลยถือได้ว่า จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันจริง แม้สัญญาค้ำประกันนั้นจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ซึ่งตามประมวลรัษฎากรห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง คดีก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐาน เพราะมีประเด็นแต่เพียงว่าจำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนตัวหรือไม่
การผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ซึ่งทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดนั้น จะต้องมีการตกลงผ่อนเวลากันแน่นอนและมีผลว่า ในระหว่างผ่อนเวลานั้นเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องมิได้ หากเพียงแต่เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ เจ้าหนี้ไม่ได้เรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ยังถือไม่ได้ว่า เป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ เพราะเจ้าหนี้อาจใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อไรก็ได้
การที่หนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว เจ้าหนี้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานโดยมิได้เรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้น เป็นสิทธิของเจ้าหนี้โดยชอบ มิใช่เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ค้ำประกัน (ข้อกฎหมายตามวรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2512)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้สั่งสินค้าจากต่างประเทศโดยผ่านธนาคารในประเทศอังกฤษ ซึ่งธนาคารดังกล่าวได้ส่งใบกำกับสินค้ามาให้โจทก์เรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1 โจทก์ได้ออกเงินค่าสินค้าแทนจำเลยไป 27,352.57 บาท โดยจำเลยทำสัญญาทรัสต์รีซีทให้ไว้ว่าจะชำระเงินคืนแก่โจทก์ภายในวันที่ 26 พฤษภาคม 2499 และตกลงด้วยว่าจะปฏิบัติต่อกันตามประเพณีธนาคาร และจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินที่โจทก์จ่ายแทนไป จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตามสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องโดยยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าไปขายแล้วแต่ไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามสัญญา ขอให้บังคับจำเลยร่วมกันหรือแทนกันชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมรวม 68,115.25 บาท
จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ได้ชำระเงินให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย เพราะไม่มีข้อตกลงหากเรียกได้ก็ไม่เกิน 5 ปี ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่าได้ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องจริง แต่ลงชื่อในฐานะกรรมการกระทำการแทนบริษัทจำเลยที่ 1 โจทก์ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาเกือบ 10 ปี จนกระทั่งจำเลยที่ 1 เลิกกิจการและหลักทรัพย์หมดสิ้นเป็นการกระทำละเมิดและผ่อนเวลาชำระหนี้ จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดนอกจากนี้ขอถือเอาคำให้การจำเลยที่ 1 เป็นข้อต่อสู้ด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ 27,352.52 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจำนวน 5 ปี เป็นเงิน 20,514.43 บาท และดอกเบี้ยอัตราเดียวกันในต้นเงินนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา
1. จำเลยฎีกาว่า ในคำฟ้องของโจทก์กล่าวไว้ชัดแจ้ง ซึ่งได้ความว่าโจทก์เป็นพ่อค้า จำเลยเป็นลูกค้าผู้เคยค้ากับโจทก์ โจทก์ได้เรียกร้องเอาค่าส่งมอบของและค่าดูแลสินค้าซึ่งเข้าหลักเกณฑ์มาตรา 165(1) มีอายุความเพียง 2 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้น เป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการของการธนาคารพาณิชย์
มีปัญหาว่า ธนาคารโจทก์เป็นพ่อค้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) หรือไม่
ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ได้ให้คำจำกัดความคำว่าพ่อค้าไว้
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า พ่อค้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) นั้น ต้องถือตามความรู้สึกของประชาชนธรรมดาทั่ว ๆ ไปเข้าใจกัน คือหมายถึงบุคคลที่ประกอบการค้าโดยทำการซื้อสินค้ามาแล้วขายไปเป็นปกติธุระผู้ประกอบการค้าโดยไม่ได้ทำการซื้อและขายสินค้านั้น ไม่ถือว่าเป็นพ่อค้าตามความหมายแห่งมาตรา 165(1) ดังจะเห็นได้จากข้อความในมาตรา 165(1) ว่า บุคคลจำพวกที่ค้าในการให้เช่าสังหาริมทรัพย์ฯลฯ ถ้าประมวลกฎหมายนี้มีความมุ่งหมายว่า ผู้ประกอบการค้าเป็นพ่อค้าด้วยแล้ว ก็ควรจะใช้คำว่าพ่อค้าเช่นเดียวกับมาตรา 165(1) การที่ไม่ใช่ถ้อยคำอย่างเดียวกัน จึงเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการค้าหาจำเป็นต้องเป็นพ่อค้าเสมอไปไม่
ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 มาตรา 4ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่าธนาคารพาณิชย์นั้น ประกอบการค้าประเภทรับฝากเงิน ฯลฯ เป็นหลักและประกอบกิจการต่าง ๆ ตามวิธีการธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ธนาคารโจทก์จึงไม่ใช่พ่อค้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
2. จำเลยฎีกาว่า สัญญาค้ำประกันไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าตามคำให้การของจำเลยที่ 2รับว่าได้ลงชื่อไว้ในหนังสือสัญญาค้ำประกันที่โจทก์ฟ้องจริงแต่ต่อสู้ว่า ลงนามค้ำประกันในฐานะกรรมการกระทำการแทนในนามบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาค้ำประกันเป็นการส่วนตัว จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ค้ำประกันหนี้รายนี้ต่อโจทก์จริง ไม่จำเป็นต้องอาศัยหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานในคดี อ้างฎีกาที่ 1189/2494 ศาลอุทธรณ์มิได้รับฟังสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐาน ที่จำเลยฎีกาว่าตามคำให้การจำเลยที่ 2 เท่ากับปฏิเสธว่า ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันนั้น ไม่มีเหตุผลควรรับฟัง เพราะตามคำให้การจำเลยนั้นจำเลยรับแล้วว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันจริงเป็นแต่ต่อสู้ว่าไม่ได้ค้ำประกันในฐานะส่วนตัว ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า จำเลยทำสัญญาค้ำประกันเป็นส่วนตัวหรือไม่เท่านั้น ส่วนสัญญาค้ำประกัน ก็คงรับอยู่แล้วว่าได้ทำจริง
3. จำเลยฎีกาว่า ตามสัญญาค้ำประกัน ลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ภายในวันที่ 26 พฤษภาคม 2499 โจทก์ปล่อยเวลาล่วงเลยมาเกือบ 10 ปีเป็นการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้และศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ได้กระทำละเมิดตามข้อต่อสู้ของจำเลยหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 700 นั้น หมายความว่ามีการตกลงผ่อนเวลากันแน่นอนและมีผลว่าในระหว่างผ่อนเวลานั้น โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องไม่ได้ เพียงแต่เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ โจทก์ไม่ได้เรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ เพราะโจทก์อาจเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เมื่อไรก็ได้ และการที่โจทก์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานาน โดยมิได้เรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ก็เป็นสิทธิของโจทก์โดยชอบ มิใช่การกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 2
4. จำเลยฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่า ข้อหาตามฟ้องของโจทก์นอกจากเรื่องค่าธรรมเนียม ไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน