แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำผิดเป็นกรรมเดียว แต่โจทก์แต่ละคนแยกฟ้องจำเลยเป็น 5 สำนวน จึงแยกสำนวนลงโทษจำเลยเรียงไปแต่ละสำนวนมิได้ มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นว่าจำเลยทำผิดเพียงครั้งเดียว แต่ถูกลงโทษในความผิดอันเดียวกันนั้นซ้ำกันหลาย ๆ ครั้งได้
คดีที่ศาลชั้นต้นลงโทษ 6 เดือน และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รอการลงโทษ โจทก์ฎีกาขอมิให้รอการลงโทษจำเลย เป็นฎีกาในเรื่องดุลพินิจของศาล เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ย่อยาว
คดีทั้ง ๖ สำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจแจ้งข้อความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวนอำเภอเมืองสมุทรสาคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒,๑๗๓ และ ๑๗๔
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า นายบุญล้อมและนายเลี่ยมจำเลยได้ทำผิดจริงตามฟ้องโจทก์ จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒,๑๗๓ และ ๑๗๔ ให้ลงโทษในบทหนักตามมาตรา ๑๗๔ วรรคท้าย สำหรับนายบุญล้อมจำเลยซึ่งเป็นต้นเรื่องผู้ไปแจ้งความเอง ให้จำคุกไว้ ๖ เดือน ส่วนนายเลี่ยมจำเลยเพียงไปร่วมให้การเป็นพยานช่วยเหลือให้จำคุกไว้ ๔ เดือน คำขอของโจทก์ที่ขอให้นับโทษนายบุญล้อมจำเลยแต่ละสำนวนติดต่อกันเห็นว่าโจทก์ทั้งห้าแยกฟ้องจำเลยเป็น ๕ สำนวนในกรรมเดียวจึงไม่ควรแยกสำนวนเรียงลงโทษจำเลยและนับโทษต่อตามโจทก์ขอ
โจทก์และจำเลยทั้ง ๖ สำนวนอุทธรณ์ โดยโจทก์ ๕ สำนวนแรก อุทธรณ์ขอให้ลงโทษนายบุญล้อมจำเลยให้หนักขึ้นและให้เรียงสำนวนลงโทษและนับโทษนายบุญล้อมจำเลยแต่ละสำนวนต่อกันด้วย ส่วนนายบุญล้อมและนายเลี่ยม จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า นายเลี่ยมจำเลยไม่ได้ทำผิดดังโจทก์ฟ้อง ให้ยกฟ้อง ส่วนโทษจำคุกนายบุญล้อมจำเลยให้รอการลงโทษไว้ใน ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ และให้ยกอุทธรณ์ในข้อที่ให้เรียงสำนวนลงโทษและนับโทษนายบุญล้อมจำเลยแต่ละสำนวนต่อกันนั้นเสีย ทั้งนี้ได้มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า ควรยกฟ้องปล่อยตัวนายบุญล้อมไปเช่นเดียวกับนายเลี่ยมจำเลย และอนุญาตให้นายบุญล้อมจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
โจทก์ทั้ง ๖ สำนวนฎีกาขอให้รอการลงโทษแก่นายบุญล้อมจำเลย และให้เรียงสำนวนลงโทษจำเลยด้วย กับขอให้ลงโทษนายเลี่ยมจำเลยดุจคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ส่วนนายบุญล้อมจำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้ง ๔ สำนวนที่ฟ้องจำเลยเสีย
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีเฉพาะนายบุญล้อมจำเลย ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยทราบว่าจำเลยหมดสิทธิในที่เช่ารายนี้แล้ว การที่นายบุญล้อมจำเลยได้แจ้งความและให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยได้เช่าที่ดินราชพัสดุ และใบเช่านี้สัญญายังไม่หมดอายุ พร้อมทั้งแจ้งว่าพวกโจทก์บุกรุกเข้าไปสั่งและควบคุมการก่อสร้างอาคารในที่ดินซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลย เป็นการรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขทำให้จำเลยเสียหาย จึงเป็นการแจ้งความเท็จในการไปแจ้งความกล่าวหาพวกโจทก์ในครั้งแรก จำเลยไม่ได้แจ้งว่าพวกโจทก์บุกรุกเข้าไปควบคุมคนงานให้ถอนเสาตอหม้อกับไม้หลักเขตที่ดินที่จำเลยปักเอาไว้ จำเลยพึ่งมาเติมข้อความกล่าวหานี้ขึ้นมาใหม่ในภายหลัง เพื่อให้มีเหตุที่จะกล่าวหาพวกโจทก์ให้แน่นแฟ้นขึ้นเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่สนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยไม่มีคามบริสุทธิ์ใจในการไปแจ้งความกล่าวหาพวกโจทก์เป็นคดีนี้ ฎีกาของนายบุญล้อมจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนคดีนายเลี่ยมจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าการที่นายเลี่ยมไปให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนว่าเห็นนายดินโจทก์และบุคคลอื่น ๆ เข้าไปวางผังและควบคุมคนงานในที่ดินรายนี้ตลอดจนเสาตอหม้อ น่าเชื่อว่าเป็นความจริง และนายเลี่ยมจำเลยมิได้ให้ถ้อยคำที่เป็นการยืนยันในข้อเท็จจริงแต่ประการใด เพราะจำเลยว่าจำเลยเข้าใจเอาเองเท่านั้น นายเลี่ยมจำเลยจึงไม่มีความผิด
ส่วนฎีกาของโจทก์ทั้ง ๕ สำนวนแรกที่ขอให้เรียงสำนวนลงโทษนายบุญล้อมจำเลยนั้น เห็นว่านายบุญล้อมจำเลยทำผิดเป็นกรรมเดียว แต่โจทก์แต่ละคนแยกฟ้องจำเลยเป็น ๕ สำนวน จึงแยกสำนวนลงโทษจำเลยเรียงไปแต่ละสำนวนมิได้ มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นว่า จำเลยทำผิดครั้งเดียว แต่ถูกลงโทษในความผิดอันเดียวกันนั้นซ้ำกันหลาย ๆ ครั้งได้ ส่วนที่โจทก์ขอมิให้รอการลงโทษนายบุญล้อมจำเลยก็ปรากฏว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะเป็นฎีกาที่ฎีกาในเรื่องดุลพินิจของศาล ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์ทุกสำนวนและนายบุญล้อมจำเลย