แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องที่มิได้กล่าวหาว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดด้วย จึงลงโทษไม่ได้
จำเลยที่ 1 ออกเช็คให้จำเลยที่ 2 ไปยืมเงินโจทก์ร่วมจำเลยที่ 2 ก็ได้ยืมเงินและมอบเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ร่วมเป็นการชำระหนี้ แม้โจทก์ร่วมรับเช็คไว้โดยรู้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินในบัญชีก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมรู้เห็นเป็นใจกระทำผิดกับจำเลยอันจะถือว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินยังไม่เกิดจนกว่าจะขอรับเงิน และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นอกจากนี้โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ตกลงกันขณะออกเช็คว่า จะบังคับการจ่ายเงินต่อเมื่อพ้นกำหนด 1 เดือน นับแต่วันออกเช็คจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินจนกว่าจะพ้น 1 เดือน แต่เมื่อพ้น 1 เดือน จำเลยที่ 1 มิได้นำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระเงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน อ้างว่าปิดบัญชีจำเลยที่ 1 แล้ว จึงถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คโดยในขณะออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมาตรา 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2504 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ออกเช็คของธนาคารกรุงเทพฯ หมายเลข บี.1-1028935 สั่งจ่ายเงิน 145,000 บาทมอบให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้มอบให้นางเยาวเรศเพื่อชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 17 เมษายน 2504 ได้ขอรับเงินที่ธนาคาร ๆ ปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะบัญชีของจำเลยที่ 1 ปิดแล้ว โดยจำเลยที่ 1 มีเจตนาทุจริตออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คโดยในขณะออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ กับจำเลยทั้งสองสมคบร่วมกันฉ้อโกงนางเยาวเรศ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83
นางเยาวเรศขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอื่น เฉพาะคดีนี้พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุกคนละ 1 ปี ข้อหาฉ้อโกงให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ โจทก์ร่วมฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองคนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องโจทก์มิได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 ได้สมคบร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการออกเช็คด้วย คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงิน
สำหรับจำเลยที่ 1 น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คให้จำเลยที่ 2 ไปยืมเงินโจทก์ร่วมจริง และในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2504 จำเลยที่ 2 ได้ยืมเงินโจทก์ร่วม 145,000 บาท มอบเช็ค จ.2 ลงวันดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ร่วมเป็นการชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 17 เมษายน 2504 โจทก์ร่วมได้นำเช็ค จ.2 ไปขอรับเงินต่อธนาคาร ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงิน เพราะได้ปิดบัญชีของจำเลยที่ 1 แล้ว ดังนี้ แม้โจทก์ร่วมรับเช็ค จ.2 ไว้โดยรู้ว่าจำเลยไม่มีเงินในบัญชี ก็ถือไม่ได้ว่า โจทก์ร่วมได้ร่วมรู้เห็นเป็นใจกระทำผิดกับจำเลยอันจะทำให้ถือว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะในวันออกเช็คความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คยังไม่เกิดจนกว่าโจทก์ร่วมจะได้นำเช็คไปขอรับเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นอกจากนี้ยังได้ความว่าโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ตกลงกันขณะออกเช็ค จ.2 ว่า จะบังคับการจ่ายเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อพ้นกำหนดเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกเช็คคือวันที่ 8 กุมภาพันธ์2504 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็ค จ.2 โดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินจนกว่าจะพ้นเวลา 1 เดือน แต่เมื่อพ้น 1 เดือนตามที่ตกลงกัน จำเลยที่ 1 มิได้นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยเพื่อชำระเงินตามเช็ค จ.2 และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าปิดบัญชีจำเลยที่ 1 แล้ว จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คหมาย จ.2 โดยในขณะออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ตามศาลชั้นต้นนอกนั้นยืน