คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่าที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ใน พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ตรงกันกับคำว่า “ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ” ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1)เมื่อทางการต้องการหวงห้ามที่ดินที่ยังรกร้างว่างเปล่า เพื่อจะใช้เป็นสาธารณประโยชน์ใด ก็ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัตินี้
ที่ดินที่พลเมืองได้ใช้ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304(2) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ใช่ที่รกร้างว่างเปล่าที่เหล่านั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในตัว แม้ภายหลังจะเปลี่ยนการใช้ประโยชน์จากอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ด้วย
ที่ฌาปนสถานซึ่งประชาชนใช้ฝังและเผาศพอยู่ ภายหลังได้ล้างป่าช้า และได้ปลูกโรงเรียนเทศบาลขึ้น ที่ดังกล่าวนั้นก็ยังเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ตามเดิม
ฟ้องโจทก์กล่าวว่า บริเวณโดยรอบซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่านั้นโจทก์มุ่งหมายให้เข้าใจเพียงว่าเป็นที่ส่วนประกอบของที่สาธารณตามสภาพของลักษณะที่ดินที่เช่นนั้นไม่เกี่ยวกับที่ว่างเปล่าตามมาตรา 1304(1)แต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์(เทศบาล)ได้เข้าครอบครองโดยได้รับมอบให้ดูแลจัดตั้งสถานที่ศึกษาเล่าเรียนอันเป็นสาธารณประโยชน์ของรัฐตามอำนาจและหน้าที่ จำเลยได้เข้ามาบุกรุกอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า คณะกรมการอำเภอพะเยาได้อนุญาตให้เทศบาลเมืองพะเยาใช้ป่าและบริเวณโดยรอบซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่าอยู่บ้านไหล่อิง ในเขต 4 เทศบาลเมืองพะเยา จัดสร้างโรงเรียนเทศบาล 3 ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2484 ครั้น พ.ศ. 2485 ซึ่งเป็นเวลาสงครามรัฐบาลได้เคลื่อนกำลังทหารขึ้นมาประจำภาคเหนือ หน่วยทหารได้สับเปลี่ยนและตั้งค่ายพักในที่นี้ตลอดทั้งที่ดินของเอกชนใกล้เคียง โดยจัดสร้างที่พัก ฯลฯ จนเขตที่ดินของโรงเรียนลบเลือนไปหมด จำเลยทั้งสองมีเขตที่ดินติดต่อกับโรงเรียน จำเลยต่างถือโอกาสเข้าบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินภายในเขตโรงเรียนบางส่วน จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพดีและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของจำเลย และตัดฟ้องว่าการหวงห้ามของเทศบาลและอำเภอพะเยาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งคดีเคลือบคลุมและขาดอายุความแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตามมาตรา 24 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ศาลชั้นต้นเห็นด้วยกับคำร้องของจำเลยว่าที่พิพาทได้เปลี่ยนสภาพจากป่าช้าสาธารณะแล้ว หากจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็หาได้เป็นสาธารณสมบัติกลางซึ่งผู้ใดจะเข้าถือสิทธิครอบครองไม่ได้ไม่ และคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว พิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ยังมีอำนาจฟ้องและคดียังไม่ขาดอายุความพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่า “ที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 นี้ตรงกับคำว่า “ที่รกร้างว่างเปล่า” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1) เมื่อทางการต้องการหวงห้ามที่ดินที่ยังรกร้างว่างเปล่าเพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์ ก็ต้องดำเนินการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัตินี้

ที่ดินที่พลเมืองใช้ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304(2) ดังคำฟ้องคดีนี้ ไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่เหล่านั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่แล้วในตัว และแม้ภายหลังจะเปลี่ยนการใช้ประโยชน์จากอย่างหนึ่งไปเป็นอีกอย่างหนึ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ด้วยกันก็ตามที

คำฟ้องกล่าวว่าบริเวณโดยรอบซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่านั้นโจทก์มุ่งหมายให้เข้าใจเพียงเป็นที่ส่วนประกอบที่สาธารณะตามสภาพของลักษณะที่เช่นนั้น ไม่เกี่ยวกับที่รกร้างว่างเปล่าตามมาตรา 1304(1) แต่อย่างไร

โจทก์ยืนยันว่า ได้เข้าครอบครองโดยได้รับมอบให้ดูแลจัดตั้งสถานที่ที่ศึกษาเล่าเรียน อันเป็นสาธารณประโยชน์แทนรัฐตามอำนาจและหน้าที่ ภายหลังจำเลยกลับบุกรุก อันเป็นการรบกวนสิทธิโจทก์โจทก์มีอำนาจฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

พิพากษายืน

Share