คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องทราบว่าศาลชั้นต้นพิพากษาริบรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่ผู้ร้องก็เพิกเฉยหาได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ ทั้งยังรับชำระค่าเช่าซื้อต่อมาอีก 2 งวด หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 เดือน ผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญาและมายื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น จึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาและไม่ติดตามเอารถจักรยานยนต์ของกลางคืน ทั้ง ๆ ที่มีการผิดนัดค่าเช่าซื้อติดต่อกันมาหลายงวด การที่ผู้ร้องมาขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลย เข้าลักษณะผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 134, 160 ทวิริบรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 2 อ-2991 ของกลาง

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์ของกลางผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วย ขอให้สั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยกับจำเลยในการกระทำผิด ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 2 อ-2991 ได้ให้นายนพพร ขาวดอน เช่าซื้อไปเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2540 ในราคาเช่าซื้อ60,056.07 บาท ผู้เช่าซื้อตกลงผ่อนชำระ 24 งวด งวดละ 2,116.82 บาทแต่ผู้เช่าซื้อผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเพียง 11 งวด แล้วผิดนัดตั้งแต่งวดที่ 12คืองวดประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 ก่อนผิดนัดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลาง เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน2540 ผู้ร้องทราบว่าศาลชั้นต้นพิพากษาริบรถจักรยานยนต์ของกลางเมื่อวันที่ 14พฤศจิกายน 2540 ผู้ร้องมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อผู้เช่าซื้อเมื่อวันที่ 7กรกฎาคม 2541 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องทราบว่าศาลชั้นต้นพิพากษาริบรถจักรยานยนต์ของกลางมาตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2540แต่ผู้ร้องก็เพิกเฉยหาได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ ทั้งยังรับชำระเงินค่าเช่าซื้อต่อมาอีก 2 งวด คืองวดที่ 10 และที่ 11 ประจำเดือนธันวาคม 2540 และเดือนมกราคม 2541 จนกระทั่งต่อมาผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อในงวดที่ 12 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2541 หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 เดือน ผู้ร้องเพิ่งบอกเลิกสัญญาและมายื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางในคดีนี้พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาและไม่ติดตามเอารถจักรยานยนต์ของกลางที่ให้เช่าซื้อคืน ทั้ง ๆ ที่มีการผิดนัดค่าเช่าซื้อติดต่อกันมาหลายงวด การที่ผู้ร้องมาขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางเห็นได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยเข้าลักษณะผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาต้องกันมาให้ยกคำร้องชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share