คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1042/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดโจทก์ผู้ทรงมิได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปยื่นต่อจำเลยณ ภูมิลำเนาของจำเลยเพื่อให้ใช้เงินตามตั๋ว เพียงแต่มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินถือว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามวิธีการตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 985 ประกอบด้วยมาตรา 941 บังคับไว้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดคำมั่นไม่ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์แม้ภายหลังจะปรากฏว่าโจทก์ทวงถามจำเลยและจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินตามตั๋ว ก็เป็นเรื่องโจทก์ปฏิบัติการทวงถามแบบหนี้ทั่วไป โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 5 ต่อสู้ว่า จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทต่อโจทก์เพราะโจทก์รับโอนเช็คพิพาทไว้โดยคบคิดกันฉ้อฉลนั้น ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลยที่ 5 ที่จะต้องนำสืบให้รับฟังได้ดังที่จำเลยที่ 5 กล่าวอ้าง
เมื่อเช็คพิพาทได้มาโดยมีมูลหนี้ จำเลยที่ 5 มีหน้าที่ต้องนำสืบว่า จำเลยที่ 2ผิดสัญญาต่อ ย. จน ย.ได้บอกเลิกสัญญาขายหุ้นและโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทโดยทราบดีว่าสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่างจำเลยที่ 2 กับ ย.ได้เลิกกัน เมื่อจำเลยที่ 5ไม่สามารถสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทไว้โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 5 จึงต้องรับผิดตามเช็คพิพาทในฐานะผู้สั่งจ่าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคล โดยจำเลยที่ ๒ หุ้นส่วนผู้จัดการนำตั๋วสัญญาใช้เงิน ๑ ฉบับ ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ออกตั๋วสัญญาจะใช้เงินจำนวน ๑,๗๘๘๔,๙๔๒ บาทให้แก่โจทก์ในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๘ ซึ่งจำเลยที่ ๓ เป็นผู้อาวัล มาขายลดแก่โจทก์ ในการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้มอบตั๋วสัญญาใช้เงิน ๑ ฉบับ ที่จำเลยที่ ๔ เป็นผู้ออกตั๋ว สัญญาจะใช้เงินจำนวน ๑,๗๘๔,๙๔๒ บาท แก่จำเลยที่ ๒ ในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๘ซึ่งจำเลยที่ ๒ ได้สลักหลังตั๋วดังกล่าวมอบให้แก่โจทก์ไว้เพี่อชำระหนี้ค่าขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ ๑ นำมาขายลดแก่โจทก์ กับมอบเช็ค ๑ ฉบับที่จำเลยที่ ๕ เป็นผู้สั่งจ่ายเงินจำนวน๑,๗๘๔,๙๔๒ บาทแก่จำเลยที่ ๒ หรือผู้ถือ ลงวันที่สั่งจ่าย ๑๕ มกราคม ๒๕๒๘ มอบแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว จำเลยที่ ๖ ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ ๑ ไว้ต่อโจทก์ โดยยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ เมื่อครบกำหนดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ ๑ นำมาขายลดแก่โจทก์นั้นแล้ว จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ชำระเงินตามตั๋วโจทก์ทวงถามจำเลยที่ ๔ ให้ชำระเงินตามตั๋วที่จำเลยที่ ๔ เป็นผู้ออกนั้นแล้ว จำเลยที่ ๔ ไม่ชำระโจทก์นำเช็คที่จำเลยที่ ๕ เป็นผู้ออกไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้อาวัล จำเลยที่ ๔ต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วที่จำเลยที่ ๔ เป็นผู้ออกพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๕ ต้องร่วมรับผิดชำระเงินตามเช็คที่จำเลยที่ ๕ เป็นผู้ออกพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๖ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันตามที่ตกลงไว้ในสัญญาพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๘ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ให้การว่า วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๒๗ นายยุทธนา สันติกุลซื้อหุ้นของบริษัทพิงนครการเกษตร จำกัด จากจำเลยที่ ๒ จำนวน ๑,๐๐๐ หุ้น ในราคา๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ชำระราคาเป็นเงินสดในวันทำสัญญา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๒ ให้แก่เจ้าหนี้จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท นอกนั้นชำระเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินอีก ๖ ฉบับ กับมอบเช็คค้ำประกันอีก ๖ ฉบับ แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ผิดสัญญาไม่สามารถโอนหุ้นให้แก่นายยุทธนาผู้ซื้อได้ครบ คงโอนให้ได้เพียง ๔๐๐ หุ้น ผู้ซื้อได้บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยที่ ๒ จะต้องคืนตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คดังกล่าวแก่ผู้ซื้อ แต่จำเลยที่ ๒ เจตนาทุจริตสมคบกับโจทก์ฉ้อฉลจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ และผู้ซื้อโดยโอนตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คพิพาทที่ผู้ซื้อมอบแก่จำเลยที่ ๒ ไว้ให้แก่โจทก์โดยไม่ได้มีการจ่ายเงินตอบแทนใด ๆ ต่อกันและโจทก์ทราบถึงการเลิกสัญญาระหว่างผู้ซื้อกับจำเลยที่ ๒ แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คดังกล่าวไม่มีมูลหนี้แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีจากจำเลยที่ ๔ เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทมิได้ตกลงดอกเบี้ยกันไว้ โจทก์มิได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปยื่นต่อจำเลยที่ ๔ ตามวันเวลาสถานที่ที่ระบุไว้ในตั๋ว จำเลยที่ ๔ จึงไม่ได้ผิดนัด โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๔ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๖ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ โดยจำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดจำนวน ๑,๘๗๓,๗๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละห้าต่อปี จากต้นเงิน ๑,๗๘๔,๙๔๒ บาท จำเลยที่ ๕ ร่วมรับผิดจำนวน ๑,๙๑๘,๔๔๕.๘๘ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๑,๗๘๔,๙๔๒ บาท และจำเลยที่ ๖ ร่วมรับผิดจำนวน๑,๑๗๔,๐๔๑.๑๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ จะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๔ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นคือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ออกตั๋วให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรือใช้ให้ตามคำสั่งของบุคคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับเงิน โดยตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นต้องมีการระบุรายการตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๘๓ โดยเฉพาะวันถึงกำหนดใช้เงินสถานที่ใช้เงิน และถ้าสถานที่ใช้เงินมิได้แถลงไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงิน ก็ให้ถือเอาภูมิลำเนาของผู้ออกตราสารนั้นเป็นสถานที่ใช้เงินตามมาตรา ๙๘๔ นอกจากนั้นมาตรา ๙๘๕ ยังบัญญัติให้นำบทบัญญัติของมาตรา ๙๔๑ ว่าด้วยตั๋วแลกเงินมาใช้บังคับแก่กรณีของตั๋วสัญญาใช้เงินด้วย ซึ่งมาตรา๙๔๑ ได้บัญญัติว่า อันตั๋วแลกเงินนั้นย่อมจะพึงใช้เงินในวันถึงกำหนดและถึงกำหนดวันใด ผู้ทรงต้องนำตั๋วเงินไปยื่นให้ใช้เงินในวันนั้น แต่ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่า โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ ๔ ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินภายหลังจากตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นถึงกำหนดให้ใช้เงินแล้ว มิได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปยื่นต่อจำเลยที่ ๔ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๔ ในวันถึงกำหนดใช้เงินเพื่อให้ใช้เงินตามตั๋ว ถือได้ว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามวิธีการที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๘๕ ประกอบด้วยมาตรา ๙๔๑ บังคับไว้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๔ ผิดคำมั่นสัญญาไม่ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ แม้ภายหลังจะปรากฏว่าโจทก์ทวงถามจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ ยังไม่ได้ชำระเงินตามตั๋วให้ก็เป็นเรื่องโจทก์ปฏิบัติการทวงถามแบบหนี้ทั่วไป โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๔
ที่จำเลยที่ ๕ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๕ ไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทต่อโจทก์เพราะโจทก์รับโอนเช็คพิพาทไว้โดยคบคิดกันฉ้อฉลนั้น ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลยที่ ๕ ที่ต้องนำสืบให้รับฟังได้ดังที่จำเลยที่ ๕ อ้าง แต่ได้ความเพียงว่า นายสุรศักดิ์ผู้จัดการของโจทก์สาขาเชียงใหม่ซึ่งรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากจำเลยที่ ๑ และรับตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ ๔ เป็นผู้ออกและเช็คพิพาทที่จำเลยที่ ๕ เป็นผู้สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ นั้น ได้ทราบที่มาหรือมูลหนี้ของตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คพิพาทคดีนี้แล้วว่า จำเลยที่ ๒ ได้มาตามสัญญาขายหุ้นให้นายยุทธนา เมื่อเช็คพิพาทได้มาโดยมีมูลหนี้ จำเลยที่ ๕ มีหน้าที่ต้องนำสืบต่อไปว่า จำเลยที่ ๒ ผิดสัญญาต่อนายยุทธนาจนนายยุทธนาได้บอกเลิกสัญญาแล้ว และโจทก์ได้รับโอนเช็คไว้โดยทราบดีว่าสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๒ กับนายยุทธนาได้มีการตกลงเลิกสัญญากัน แต่จำเลยที่ ๕ ไม่สามารถนำสืบได้ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คไว้โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๕ จึงต้องรับผิดตามเช็คในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย
พิพากษายืน.

Share