คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินส่วนที่เป็นมรดกเนื้อที่ 119.45 ตารางวา ราคา1,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งห้า แม้จะฟ้องรวมกัน มาโดยมิได้ระบุส่วนที่โจทก์แต่ละคนจะได้รับในคำฟ้องเดียวกันก็ตาม แต่สิทธิของโจทก์แต่ละคนที่จะได้รับมรดกมีจำนวนเพียง คนละ 23.89 ตารางวา ราคา 200,000 บาท ดังนั้น ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันคือคนละ 200,000 บาทเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนสามารถใช้สิทธิเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แยกต่างหากจากกันได้ เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและ ล. เป็นทายาทของเจ้ามรดก จำเลยครอบครองที่ดินโดยเจตนายึดถือเพื่อตนไม่ได้ครอบครองแทน ล. ล. ไม่ได้ฟ้องเรียกมรดกส่วนของตนภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเมื่อโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิจาก ล. นำคดีมาฟ้องคดีโจทก์ทั้งห้าจึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 ที่โจทก์ทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยครอบครองที่ดินไว้แทนทายาทอื่นเพื่อรอแบ่งปันให้แก่ทายาทอื่นมิใช่เป็นการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนนั้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ทั้งห้าไม่ขาดอายุความ จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฎีกาในข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าและนายประสพชัย มุสตอฟาดีเป็นบุตรของนางเล็ก มุสตอฟาดี จำเลยที่ 1 เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนายประสพชัย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายประสพชัย อันเกิดกับจำเลยที่ 1 นายประสพชัยถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2534 ขณะที่นายประสพชัยมีชีวิตอยู่มีทรัพย์สินคือเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6490โดยนายประสพชัยมีกรรมสิทธิ์อยู่จำนวน 4 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวาขณะนายประสพชัย ตายมีทายาทผู้มีสิทธิ ได้รับมรดกรวม 12 คน คือนายเล็ก กับจำเลยทั้งสิบเอ็ด เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2535จำเลยทั้งสิบเอ็ดได้ไปยื่นคำร้องต่อสำนักงานที่ดินเพื่อรับโอนมรดกเฉพาะส่วนของนายประสพชัย โดยแจ้งว่ามีทายาท 12 คน และแจ้งเท็จว่า นางเล็ก ไม่รับมรดกทั้งที่ความจริงนางเล็กไม่เคยรู้เห็นยินยอมในการแจ้งข้อความเรื่องตนไม่ติดใจรับมรดกแต่อย่างใด ขณะนางเล็กยังมีชีวิตอยู่ได้ทวงถามให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินมรดกเนื้อที่ 143.33 ตารางวา ตามส่วนของตนให้แก่ตน จำเลยทั้งสิบเอ็ดแจ้งว่าจะจัดการโอนให้ภายหลังแต่จำเลยทั้งสิบเอ็ดจะถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนนางเล็กไปก่อนเพราะจะต้องจัดการแบ่งแยกที่ดินเรื่องกรรมสิทธิ์รวม ซึ่งนางเล็กก็ยินยอม ต่อมานางเล็กถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ที่ดินส่วนของนางเล็กจึงตกเป็นมรดกแก่ทายาทคือโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสิบเอ็ด โจทก์ทั้งห้าได้ทวงถามจำเลยทั้งสิบเอ็ดให้โอนที่ดิน ส่วนที่เป็นมรดกเนื้อที่ 119.45 ตารางวา ให้แก่โจทก์ทั้งห้า แต่จำเลยทั้งสิบเอ็ดผัดผ่อนเรื่อยมา จำเลยทั้งสิบเอ็ดได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานที่ดินเพื่อขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมแต่จำเลยทั้งสิบเอ็ดก็ไม่โอนมรดกให้แก่โจทก์ทั้งห้า ทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหาย ไม่สามารถนำที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งห้าไปใช้ประโยชน์ได้จึงขอคิดค่าเสียหายเอากับจำเลยทั้งสิบเอ็ดในอัตราเดือนละ 5,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6490 จำนวนเนื้อที่ดิน 119.45 ตารางวา ให้แก่โจทก์ทั้งห้าหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งห้าในอัตราเดือนละ 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะโอนที่ดินให้โดยเสียค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เอง หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ปฏิบัติการชำระหนี้ได้ให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันใช้ราคาที่ดินตามราคาท้องตลาดในวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาสิ้นสุด
จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายนายทวี เซะวิเศษ ซึ่งเป็นบุตรและทายาทของโจทก์ที่ 1 และนายอำนาจมุสตอฟาดี ซึ่งเป็นบุตรและทายาทของจำเลยที่ 1 ต่างร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่เป็นมรดกเนื้อที่ 119.45 ตารางวา ราคา 1,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งห้าแม้จะฟ้องรวมกันมาโดยมิได้ระบุส่วนที่โจทก์แต่ละคนจะได้รับในคำฟ้องเดียวกันก็ตาม แต่สิทธิของโจทก์แต่ละคนที่จะได้รับมรดกมีจำนวนเพียงคนละ 23.89 ตารางวา ราคา 200,000 บาท ดังนั้น ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันคือคนละ 200,000 บาท เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนสามารถใช้สิทธิเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แยกต่างหากจากกันได้ เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสิบเอ็ดและนางเล็ก เป็นทายาทของนายประสพชัย เจ้ามรดก จำเลยทั้งสิบเอ็ดครอบครองที่ดินโดยเจตนายึดถือเพื่อตน ไม่ได้ครอบครองแทนนางเล็กนางเล็กไม่ได้ฟ้องเรียกมรดกส่วนของตนภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย เมื่อโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิจากนางเล็กนำคดีมาฟ้อง คดีโจทก์ทั้งห้าจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ที่โจทก์ทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยทั้งสิบเอ็ดครอบครองที่ดินไว้แทนทายาทอื่นเพื่อรอแบ่งปันให้แก่ทายาทอื่นมิใช่เป็นการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ทั้งห้าไม่ขาดอายุความจึงมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาโจทก์ทั้งห้ามาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์ทั้งห้า คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งห้า

Share