แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับ และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 78(1) ถึง (4) และวรรคสุดท้ายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น เป็นการจับกุมโดยไม่มีอำนาจ แม้จำเลยต่อสู้ขัดขวางการจับกุมก็ไม่มีความผิด
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นสองสำนวน+สำนวนที่ ๑ โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๐๔ เวลากลางวัน จำเลยร่วมกันทำสุรา มีน้ำสุราแช่ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสองปฏิเสธ
สำนวนที่ ๒ โจทก์ฟ้องว่า ตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวในสำนวนที่ ๑ สิบตำรวจตรีสำรวม ประเสริฐ กับเจ้าพนักงานตำรวจอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันทำสุรา มีน้ำสุรา จำเลยไม่ยอมให้จับกุมโดยจำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนแก๊ปยกขึ้นจะดี ใช้กำลังกายชกต่อยทำร้ายร่างกายสิบตำรวจตรีสำรวมไม่ถึงบาดเจ็บ จำเลยที่ ๒ ถือขวานจะทำร้ายสิบตำรวจตรีสำรวม ๆ ชักปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า ๑ นัด จำเลยทั้งสองก็หนีไป เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติตามหน้าที่ ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสองปฏิเสธว่าความจริงสิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกใช้ปืนของจำเลยที่ ๑ ตีทำร้ายจำเลยที่ ๑ โดยมิได้มีเหตุสมควร และเพื่อปกปิดความผิด สิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกจึงสมคบกันสร้างหลักฐานเท็จขึ้นเพื่อจะเอาผิดแก่จำเลยโดยไม่มีมูล
ศาลชั้นต้นพิจารณารวมกันแล้ววินิจฉัยว่า ข้อหาสำนวนที่ ๑ พยานโจทก์มีข้อน่าระแวง ไม่พอลงโทษจำเลยได้ สำนวนที่ ๒ เฉพาะจำเลยที่ ๑ คดีฟังได้ว่าได้กระทำผิดดังข้อกล่าวหาของโจทก์ พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘,๑๔๐ วรรคแรก ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๔๐ วรรคแรกซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๑ เดือน ให้ยกฟ้องข้อหาจำเลยที่ ๑,๒ ทำสุรา มีน้ำสุรากับข้อหาจำเลยที่ ๒ ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยได้ทราบแล้วว่า สิบตำรวจตรีสำรวม พลตำรวจมัน เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และจำเลยที่ ๑ ได้ต่อสู้ขัดขวางไม่ยอมให้จับจริง แต่เห็นว่าการที่สิบตำรวจตรีสำรวมไปทำการจับกุมสุรารายนี้ ไม่ปรากฎว่าสิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกมีหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๗๘ ซึ่งบัญญัติว่า พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับนั้นไม่ได้ เว้นแต่กรณีจะเข้าขอยกเว้นตามข้อ (๑) ถึง ข้อ(๔) และวรรคสุดท้าย กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมารตรา ๗๘ ข้อ (๓) เพราะคดีฟังได้แล้วว่า ของกลางไม่ใช่ของจำเลย จำเลยที่ ๑ ไม่ได้หอบหนี้มาจากที่ที่ว่าได้พบของกลางที่ที่พบจำเลยก็ห่างกับที่ที่พบของกลางเกือบครึ่งกิโลเมตร และจำเลยไม่ได้กระทำผิด จึงยังไม่พอจะให้ถือว่าเป็นเหตุอันสมควรที่จะให้สงสัยว่าจำเลยที่ ๑ ได้กระทำผิดมาแล้วและจะหลบหนี้และเรื่องนี้การที่สิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกไปทำการจับกุมก็ไม่ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเพื่อขอหมายจับหรือหมายค้นก่อน ซึ่งควรจะมีโอกาสทำได้แต่ไม่ทำ ฉะนั้น การที่ไปจับโดยไม่มีหมายจับ และกรณีไม่เข้าตามข้อยกเว้น สิบตำรวจตรีสำรวม กบัพวก จึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำการจับกุมจำเลยได้ จำเลยที่๑ ทำการต่อสู้ขัดขวางจึงไม่เป็นความผิด พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยที่ ๑ ไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ที่นำเขาสืบคงได้ความเพียงว่า วันเกิดเหตุเวลาเที่ยงวัน มีสายลับแจ้งสิบตำรวจตรีสำรวม ที่บ้านพักในตลาดระยองว่า จำเลยทั้งสองร่วมต้มกลั่นสุราเถือนอยู่ที่ไร่มันของจำเลยที่ ๒ สิบตำรวจตรีสำรวมจึงชวนพวกตำรวจไปจับกุมโดยไม่ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เมื่อไปถึง+จำเลยที่ ๒ เป็นเวลาประมาณ ๑๓ นาฬิกาไม่พบผู้ใด เดินต่อไปทางทิศเหนือประมาณ ๒ เส้น มีชายสองคนเดินอยู่ชายป่าริมลำธารห่างประมาณ ๓ เส้น เมื่อเข้าไปห่างอีกประมาณ ๒ เส้น ชาย ๒ คนนั้นหันมามองแล้วพากันวิ่งหนี้เข้าป่าไป สิบตำรวจตรีสำรวม ไม่ได้ไล่ตามเพราะยังไม่รู้งว่าชายทั้งสองทำผิดอะไร ต่อจากนั้นสิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกพากันเดินเข้าไปในที่ที่เห้นชายทั้งสองในครั้งแรก พบเตาต้มกลั่นสุราไห+บรรจุสุราแช่เต็ม ๙ ไห สิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกติดตามชายทั้งสองไปประมาณ ๑๕ นาที เห็นชายทั้งสองเดินเข้าไปใน+ห่างจากที่พบเตาต้มกลั่นสุราประมาณครึ่งกิโลเมตร สิบตำรวจตรีสำรวมถามและทราบชื่อชายทั้งสองว่าเป็นจำเลยทั้งสองแล้ว ได้แจ้งข้อหาว่าร่วมกันต้มกลั่นสุราและหนีไปขอทำการจับกุม จำเลยทั้งสองปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด ไม่ยอมให้จับ สิบตำรวจตรีสำรวมเข้าจับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑
ยกปืนแก๊ปขึ้นจะตี แต่พอตำรวจมันแย่งปืนไว้ สิบตำรวจตรีสำรวมเข้าช่วย จำเลยที่ ๑ จึงชกถูกแขนสิบตำรวจตรีสำรวม สิบตำรวจตรีสำรวมจับจำเลยที่ ๑ ไว้ จำเลยที่ ๒ ถือขานเดินเข้ามา พอดีจำเลยที่ ๑ สบัดหลุด สิบตำรวจตรีสำรวมชักปืนออกยิงขู่ ๑ นัด จำเลยทั้งสองพากันหนีไป สิบตำรวจตรีสำรวมกับพวกกลับไปยังที่ต้มกลั่นสุรายึดของกลางมา เมื่อพยานโจทก์ที่นำเข้าสืบด้ความเพียงดัลกล่าว ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุผลและบทกฎหมายดังกล่าวแล้วพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๑ นั้น เป็นการวินิจฉัยถูกต้องชอบด้วยรูปคดีแล้ว
เรื่องออกหมายจับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า วันเกิดเหตุขณะมีสายลับแจ้งต่อตำรวจตรีสำรวมที่บ้านพักตลาดระยอง ซึ่งน่าจะอยู่ไม่ไกลกับสถานีตำรวจ จึงควรไปรายงานให้ผู้มีอำนาจออกหมายจับหมายค้นทราบและขอให้ออกหมายค้นให้ตามระเบียบ แต่ก็หาได้ปฏิบัติไม่ เพราะถ้าปฏิบัติแล้วก็น่าจะไม่เสียเวลามากนัก ข้ออ้างของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน