แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์กับที่ดินตามแบบหมายเลข3เป็นที่ดินแปลงเดียวกันหรือไม่นั้นปัญหาดังกล่าวจำเลยได้ยกเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นโต้แย้งในการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นและในคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยไว้แล้วแต่ศาลอุทธรณ์หาได้วินิจฉัยให้จำเลยไม่จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ที่พิพาทตามน.ส.3ก.เลขที่5141ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีของโจทก์และที่ดินตามแบบหมายเลข3ตำบลหนองขามอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีเป็นที่ดินแปลงเดียวกันและโจทก์มีสิทธิครอบครองการที่จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่พิพาทเพื่อออกโฉนดเป็นของจำเลยถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ปัญหาที่ว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)เลขที่5141ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทในการชี้สองสถานไว้เพียงข้อเดียวว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทก็ตามแต่ประเด็นข้อนี้ย่อมครอบคลุมไปถึงปัญหาข้อนี้ด้วยแล้วส่วนปัญหาที่ว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)เลขที่5141และที่ดินตามแบบหมายเลข3เป็นที่ดินแปลงเดียวกันหรือไม่นั้นเมื่อปรากฎในการชี้สองสถานคู่ความทั้งสองรับกันแล้วว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกันปัญหาข้อนี้จึงเป็นอันยุติไปแล้วในศาลชั้นต้นถือว่าเป็นข้อฎีกาที่ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 ตำบลหนองขามอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 23 ไร่ 62 ตารางวาเมื่อเดือนมกราคม 2533 จำเลยนำพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีไปรังวัดที่ดินดังกล่าวเพื่อออกโฉนดเป็นของจำเลย โจทก์คัดค้าน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยถอนเรื่องราวการขอรังวัดออกโฉนด และห้ามเกี่ยวข้องในที่พิพาท หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
การที่จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินตามฟ้อง ซึ่งเป็นที่ดินตามแบบหมายเลข 3 เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 โดยซื้อมาจากนายสวัสดิ์ แห่งประเสริฐ เมื่อวันที่ 23 กันยายน2511 ซึ่งเดิมโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิในที่ดินดังกล่าวแต่ได้ขายและส่งมอบสิทธิครอบครองให้แก่นายสวัสดิ์ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2502 ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2532 โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านในระหว่างการรังวัด จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1มีนาคม 2533 โจทก์จึงยื่นคำคัดค้านว่าจำเลยนำรังวัดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของโจทก์ เมื่อตรวจสอบแล้วจึงพบว่าโจทก์ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยโจทก์อ้างต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินไม่มีผู้ใดมีสิทธิครอบครองหรือมีเอกสารสิทธิมาก่อนและโจทก์เป็นผู้เข้าจับจองที่ดินอันเป็นความเท็จเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินออกเอกสารสิทธิใบจองให้แก่โจทก์นำไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์คัดค้านการขอออกโฉนดของจำเลย เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5141 ตำบลหนองขามอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีชื่อโจทก์ถือสิทธิตามสารบบทะเบียนเนื้อที่ดิน 23 ไร่ 62 ตารางวา ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวและการดำเนินการขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของจำเลย เนื้อที่ 21ไร่ 1 งาน เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยว่า โจทก์ไม่เคยขายหรือส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้นายสวัสดิ์ ความจริงโจทก์กู้เงินจากนายสวัสดิ์และนำที่ดินดังกล่าวค้ำประกันหนี้ต่อมาโจทก์ชำระเงินกู้เสร็จสิ้นแล้ว แต่นายสวัสดิ์ไปส่งมอบแบบหมายเลข 3 ของที่ดินคืน โจทก์ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินนับแต่ซื้อมาจนปัจจุบันจำเลยไม่เคยเข้าครอบครองหรือทำประโยชน์แต่อย่างใดเมื่อนายสวัสดิ์มิได้ส่งคืนหนังสือแบบหมายเลข 3 แก่โจทก์และได้หลบหายไปโจทก์จึงติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกเอกสารสิทธิฉบับใหม่ เจ้าพนักงานที่ดินแนะนำให้โจทก์ยื่นคำขอจับจองที่ดินใหม่ เมื่อโจทก์ดำเนินการแล้วเจ้าพนักงานที่ดินได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5141 เนื้อที่ 23 ไร่ 62 ตารางวาแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 5141 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือสิทธิออกจากสารบบทะเบียนของสำนักงานที่ดินอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ส่วนการดำเนินการขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของจำเลยตามแบบหมายเลข 3 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 21 ไร่ 1 งาน เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องและให้จำเลยถอนเรื่องราวการขอรังวัดออกโฉนดที่พิพาทให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าที่พิพาทตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 5141 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ตามเอกสารหมาย จ.18 และที่ดินตามแบบหมายเลข 3 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน และวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5141 ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 5141 กับที่ดินตามแบบหมายเลข 3 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันหรือไม่นั้น จำเลยได้ยกเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นโต้แย้งในการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นและในคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยไว้แล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หาได้วินิจฉัยให้จำเลยไม่จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ และเห็นว่าสำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ดังนี้ การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีไปรังวัดที่พิพาทเพื่อออกโฉนดเป็นของจำเลย ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ปัญหาที่ว่าการออกหนังสือรับรองประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 5141 ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นเห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทในการชี้สองสถานไว้เพียงข้อเดียวว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทก็ตาม แต่ประเด็นข้อนี้ย่อมครอบคลุมไปถึงปัญหาข้อนี้ด้วยแล้ว ส่วนปัญหาที่ว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 5141 และที่ดินตามแบบหมายเลข 3 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันหรือไม่นั้นในการชี้สองสถาน คู่ความทั้งสองรับกันแล้วว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกันหรือไม่นั้นในการชี้สองสถานคู่ความทั้งสองสถานรับกันแล้วว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกันปัญหาข้อนี้จึงเป็นอันยุติไปแล้วในศาลชั้นต้น ถือว่าเป็นข้อฎีกาที่ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียม ชั้นฎีกา ให้ เป็น พับ