แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ภรรยาเอาเรือนไปขายฝากแก่จำเลยไว้ โดยสามีได้ให้ความยินยอม ครั้งครบกำหนดไถ่ถอนตามสัญญาแล้ว ภรรยากลับขอทำสัญญาต่อใหม่อีก จำเลยก็ยินยอม ทางอำเภอจึงทำสัญญาขายฝากขึ้นอีกฉะบับหนึ่ง ดังนี้ ถือได้ว่า การทำสัญญาขายฝากครั้งที่ 2 นี้เป็นแต่เพียงพิธีการสำหรับยืดอายุสิทธิการไถ่ถอนออกไปอีก เท่านั้น ต้องถือว่าเป็นการขายฝากรายเดียวกันซึ่งสามีได้ยินยอมตกลงอนุญาตให้ทำนิติกรรมนั้นแล้ว และถ้าสามีจะอ้างว่าการทำขายฝากครั้งที่ 3 คือยืดอายุการไถ่ถอน ไม่ได้รับอนุญาตจากสามี ขอให้เพิกถอนเสีย กรรมสิทธิในทรัพย์ที่ขายฝากก็ย่อมตกได้แก่จำเลยบริบูรณ์ตั้งแต่ครบกำหนดการไถ่ถอนตามสัญญาครั้งแรกแล้ว จำเลยจึงย่อมบังคับให้เปลี่ยนแก้ทะเบียนเรือนให้จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิได้
ย่อยาว
คดีได้ความว่า  นางเจริญ  สุตันตานนท์ภรรยาโจทก์ได้เอาเรือนเลขทะเบียนที่ ๙๕,  ๙๗,  ๙๙  อันเป็นทรัพย์สมรสระหว่างโจทก์และนางเจริญ  ไปทำสัญญาต่ออำเภอดุสิต  ขายฝากไว้กับจำเลยเมื่อวันที่  ๒๑  กรกฎาคม  ๒๔๙๐  เป็นเงิน  ๖๕๐๐  บาท  กำหนดไถ่ถอนคืนใน  ๑๐  เดือน  โดยโจทก์ให้ความยินยอม  ต่อมาเมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน  นางเจริญได้ยื่นคำร้องต่ออำเภอขอทำสัญญาต่อใหม่อีก  ฝ่ายจำเลยก็ยินยอม  อำเภอจึงทำสัญญาขายฝากขึ้นใหม่อีกฉะบับหนึ่ง  มีกำหนดไถ่ถอน ๑  ปี  ครั้งครบกำหนด  นางเจริญหาได้ไปไถ่ถอนไม่จัดการ  จำเลยจึงฟ้องศาลขอให้บังคับนางเจริญ  ศาลพิพากษาให้นางเจริญไปจัดการแก้ทะเบียนต่อกรมการอำเภอดุสิต  ระหว่างบังคับคดีอยู่นั้น  โจทก์ได้มีหนังสือบอกล้างนิติกรรมขายฝาก  อ้างว่านางเจริญได้กระทำไปโดยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย  แล้วโจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีนี้  ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาและคำบังคับตามคำพิพากษาดังกล่าวเสีย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า  เมื่อนางเจริญภรรยาโจทก์ได้ทำการขายฝากเรือนพิพาทแก่จำเลยตามสัญญาขายฝากครั้งที่ ๑  โดยโจทก์ได้ตกลงยินยอมด้วยแล้ว  กรรมสิทธิในทรัพย์สินย่อมตกไปยังจำเลยเมื่อไม่มีการไถ่ถอนภายในกำหนด  สิทธิไถ่ถอนก็ย่อมสิ้นไป  แต่ปรากฎว่านางเจริญได้ขอยืดอายุการไถ่ถอนไปอีก  ซึ่งจำเลยยินยอมด้วย  การทำสัญญาขายฝากครั้งที่  ๒  จึงเป็นแต่พิธีการสำหรับยืดอายุสิทธิการไถ่ถอนออกำปอีกเท่านั้น  ต้องถือว่าเป็นการขายฝากรายเดียวกัน  ซึ่งโจทก์ได้ยินยอมตกลงอนุญาตให้ทำนิติกรรมนั้นแล้ว  ถ้าโจทก์จะอ้างว่า  การทำนิติกรรมยืดอายุการไถ่ถอนไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ๆ  ขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นแล้ว  กรรมสิทธิบริบูรณ์ก็ย่อมได้แก่จำเลยตั้งแต่ครบกำหนดไถ่ถอนตามสัญญาครั้งแรก  คดีของโจทก์ไม่มีทางชนะได้
จึงพิพากษายืน
