แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าตนเองมีสิทธิพิเศษอย่างใด อันจะถือได้ว่า ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ผิด และไม่มีเจ้าพนักงานคนใดสั่งให้จำเลยทำลายทรัพย์สินของโจทก์ เช่นนี้ ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปรื้อรั้วทำลายพืชของโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เป็นการรบกวนการครอบครองขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๔,๑๕๘,๑๖๒,๑๖๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เข้าครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จนถูกฟ้องขับไล่ให้ออกและถูกเปรียบเทียบปรับฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน โจทก์ก็ยังไม่ยอมออก แม้รับฟังว่าจำเลยนำนักเรียนเขาไปในที่พิพาทก็ไม่เป็นผิดฐานบุกรุก เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองโดยชอบ รูปคดีน่าเชื่อว่าในที่พิพาทมีพืชผลที่โจทก์ปลูกไว้บ้างแม้รับฟังว่าจำเลยนำนักเรียนตัดทำลายก็เป็นการพัฒนาการทำสนามของโรงเรียนจำเลยในฐานะครูใหญ่ จำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงภายในขอบอำนาจหน้าที่เพื่อความเจริญมาสู่โรงเรียน อันถือได้ว่าเป็นการกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน จำเลยไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายินตามศาลชั้นต้น โดยอาศัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าในที่พิพาทมีต้นไม้และพืชผลมากมาย จำเลยนำสืบฟังได้ว่าที่พิพาทนั้นเป็นที่รกร้างมีแต่หญ้ากับต้นมะม่วง ๑ ต้น การที่จำเลยให้นักเรียแผ้วถางไม่ทำให้โจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำตามคำสั่งของทางราชการ ซึ่งจำเลยเชื่อว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าตนเองมีสิทธิพิเศษอย่างใด อันจะถือได้ว่าทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ผิด และไม่มีเจ้าพนักงานคนใดสั่งให้จำเลยทำลายทรัพย์สินของโจทก์ เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์