คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น หมายถึงหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้น ๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่โดยตรงแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ การที่จำเลยเบิกความเป็นพยานที่ศาลไม่ใช่หน้าที่ราชการหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 บัญญัติขึ้นเพื่อป้องกันมิให้จำเลยที่ถูกฟ้องร้องได้รับโทษหรือได้รับความเสียหายอันเกิดจากการรับฟังพยานอันเป็นเท็จ เมื่อโจทก์ในคดีนี้มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีที่จำเลยในคดีนี้ไปเบิกความเป็นพยาน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงในการเบิกความของจำเลย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรานี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2) ข้อความที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้าน จำเลยไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง และข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนี้จะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ก็ไม่ทราบดังนี้ การที่จำเลยเบิกความจึงมีเพียงเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีตามที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้น หาได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังไม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จำเลยในฐานะพยานโจทก์ได้เบิกความต่อศาลจังหวัดสวรรคโลกในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายเป็ง เสาแก้วคำ เป็นจำเลยว่าโจทก์ว่าจ้างให้นายเป็งใช้อาวุธปืนยิงนายเลื่อน วงศ์ใจคำถึงแก่ความตาย เพราะโจทก์โกรธนายเลื่อนเกี่ยวกับเรื่องเงินของวัดที่โจทก์เป็นกรรมการอยู่ ซึ่งเป็นความเท็จ จำเลยมีเจตนาใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และการเบิกความของจำเลยเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 326, 157, 83 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 บัญญัติว่า”ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตต้องระวางโทษ…” ศาลฎีกาเห็นว่า การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติมาตรานี้ หมายถึงหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้น ๆ เท่านั้นถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนของโจทก์ได้ความว่า จำเลยได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ที่ศาลจังหวัดสวรรคโลกซึ่งการเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ใช่หน้าที่ราชการหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรานี้
ข้อหาต่อมา คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ซึ่งบัญญัติว่า”ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษ…” ที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้เพื่อป้องกันมิให้จำเลยที่ถูกฟ้องร้องได้รับโทษหรือได้รับความเสียหาย อันเกิดจากการรับฟังพยานอันเป็นเท็จ ผู้ที่จะเสียหายคือจำเลยในคดีนั้น แต่ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวปรากฏว่าโจทก์มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลย โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงในการเบิกความของจำเลย ดังนั้นโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตามกฎหมายมาตรานี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 (2)
ข้อหาสุดท้าย คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งบัญญัติว่า”ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ…” การใส่ความตามมาตรานี้ผู้กระทำต้องมีเจตนาใส่ความผู้อื่น ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบชั้นไต่สวนโจทก์เบิกความว่า ข้อที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัวโจทก์ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 125/2531 ของศาลจังหวัดสวรรคโลกนั้น เป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้านไม่ใช่ข้อที่จำเลยประสบมาด้วยตนเอง ส่วนข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ไม่ทราบ เห็นได้ว่า การเบิกความของจำเลย จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีตามที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้น จำเลยหาได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแต่อย่างใดไม่ จึงไม่เป็นความผิดตามมาตราดังกล่าว
พิพากษายืน.

Share