แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยใช้มีดปลายแหลมจี้คอผู้เสียหายพร้อมกับขู่ไม่ให้ร้องมิฉะนั้นจะปล้ำเมื่อผู้เสียหายปฏิบัติตามก็โยนเหล็กปลายแหลมทิ้งแล้วกอดผู้เสียหายไว้ใช้มือคลำคอผู้เสียหายถามหาสร้อยคอเมื่อทราบว่าไม่มีก็ถามถึงแหวนที่ผู้เสียหายสวมอยู่พอทราบว่าเป็นของปลอมก็ปล่อยมือจากการกอดผู้เสียหายวิ่งหนีไปได้พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นสำคัญเพราะเสาะหาแต่สร้อยคอกับแหวนเท่านั้นการที่จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมขู่จะปล้ำผู้เสียหายก็ดีกอดตัวผู้เสียหายเมื่อค้นหาทรัพย์ก็ดีเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายและใช้กำลังประทุษร้ายตามความหมายแห่งป.อ.มาตรา339การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์6ปี8เดือนฐานกระทำอนาจาร4เดือนรวมจำคุก7ปี2เดือนและลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก3ปี7เดือนยังไม่ถูกต้องเมื่อรวมโทษแล้วต้องเป็นจำคุก7ปีลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก3ปี6เดือนปัญหาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ให้ถูกต้องได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่31ตุลาคม2526เวลากลางวันจำเลยบังอาจพกพาอาวุธเหล็กแหลมยาว8นิ้ว1อันไปตามทางสาะารณะโดยไม่มีเหตุสมควรแล้วกระทำอนาจารนางสาวต้อยบุบผาดาอายุ16ปีผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำและรัดลำตัวผู้เสียหายไว้เพื่อที่จะข่มขืนกระทำชำเราและใช้เหล็กแหลมดังกล่าวจี้บังคับจะเอาแหวน2วงๆละ10บาทที่ผู้เสียหายสวมอยู่ที่นิ้วมือแล้วคลำหาสร้อยที่คอแต่ผู้เสียหายร้องใช้คนช่วยจำเลยจึงหลบหนีไปชิงทรัพย์ไม่ได้ดังเจตนาต่อจากนั้นจำเลยบังอาจกระทำอนาจารนางด่องมุ่งหมายผู้เสียหายโดยใช้กำลังกายประทุษร้ายกอดปล้ำและใช้เหล็กแหลมขู่เข็ญเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายดิ้นรนต่อสู้และวิ่งหนีไปได้ขอให้ลงดทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา278,339,371,80,91พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่5)พ.ศ.2525มาตรา3,13พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่6)พ.ศ.2526มาตรา4และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา278,334ประกอบมาตรา80,371ให้เรียงกระทงลงโทษความผิดฐานกระทำอนาจารบุคคลอายุกว่าสิบสามปีจำคุก4เดือนฐานพยายามลักทรัพย์จำคุก4เดือนฐานพกพาอาวุธไปในหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรปรับ100บาทรวมโทษจำคุก8เดือนและปรับ100บาทจำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา78คงจำคุก4เดือนปรับ50บาทไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา29,30ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ไม่ใช่ลักทรัพย์และมีความผิดฐานกระทำอนาจารผู้เสียหายแต่ละคนต้องลดโทษเป็น2กรรม
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339วรรคสอง,80กระทงหนึ่งลงโทษจำคุก6ปี8เดือนและผิดฐานกระทำอนาจารนางด่องผู้เสียหายคนเดียวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา278จำคุก4เดือนรวมจำคุก7ปี2เดือนจำเลยรับสารภาพลดกึ่งหนึ่งคงจำคุก3ปี7เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยมิได้ประสงค์ต่อทรัพย์แต่มุ่งกระทำอนาจารผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาในชั้นนี้เพียงว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์หรือไม่เท่านั้นเห็นว่าโจทก์มีนางสาวต้อยบุบผาดาผู้เสียหายเบิกความมีเหตุผลปราศจากพิรุธโดยจำเลยมิได้ซักค้านหรือนำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นฟังได้ว่าจำเลยใช้เหล็กปลายแหลมจี้คอผู้เสียหายพร้อมกับขู่ไม่ให้ร้องมิฉะนั้นจะปล้ำเมื่อผู้เสียหายปฏิบัติตามก็โยนเหล็กปลายแหลมทิ้งแล้วกอดผู้เสียหายไว้ใช้มือคลำคอผู้เสียหายภามหาสร้องคอเมื่อทราบว่าไม่มีก็ถามถึงแหวนที่ผู้เสียหายสวมอยู่พอทราบว่าเป็นของปลอมก็ปล่อยมือจากการกอดผู้เสียหายจึงวิ่งหนีได้เห็นว่าพฤติการณ์เช่นนี้ส่อให้เห็นว่าจำเลยประสงค์ต่อทรัพย์จากผู้เสียหายเป็นสำคัญเพราะเสาะหาแต่สร้อยคอกับแหวนเท่านั้นการกอดผู้เสียหายก็เพื่อจะรั้งตัวไว้ให้สะดวกต่อการค้นหาทรัพย์อย่างเดียวจะเห็นได้จากการคลำของจำเลยที่คลำแต่คออันเป็นที่ที่สร้อยคอควรอยู่มิได้คลำของสงวนอันเป็นเครื่องกระตุ้นอารมณ์ทางเพศแต่อย่างใดแม้ตอนขู่ก็ยังกำชับว่ามิฉะนั้นจะปล้ำแสดงว่าจำเลยมิได้เจตนาจะปล้ำมาแต่แรกแต่ยกเอาการปล้ำมาขู่มิให้ขัดขืนเท่านั้นการใช้เหล็กปลายแหลมขู่จะปล้ำอันเป็นการจะทำร้ายอย่างหนึ่งก็ดีการกอดตัวผู้เสียหายเพื่อค้นหาทรัพย์ก็ดีเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายและใช้กำลังประทุษร้ายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา339แล้วการกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานพยายามชิงทรัพย์หาใช่ฐานอนาจารดังจำเลยฎีกาขึ้นมาไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้วแต่ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์6ปี8เดือนฐานกระทำอนาจาร4เดือนรวมจำคุก7ปี2เดือนและลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก3ปี7เดือนนั้นยังไม่ถูกต้องเมื่อรวมโทษแล้วต้องเป็นจำคุก7ปีลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก3ปี6เดือนปัญหาดังกล่าวนี้แม้จำเลยมิได้ฎีกาแต่ก็เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องเสียได้
พิพากษาแก้เป็นว่าเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วจำคุกจำเลย7ปีลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก3ปี6เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.