แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สายการเดินเรือช. รับจ้างขนส่งสินค้าจากต่างประเทศมายังประเทศไทยแต่ไม่มีสาขาในประเทศไทยจึงให้จำเลยที่1ดำเนินการแทนระหว่างเดินทางเรือบรรทุกสินค้าของสายการเดินเรือช.เกิดเพลิงไหม้ทำให้สินค้าเสียหายบางส่วนต้องขนสินค้าที่เสียหายขึ้นที่เมืองฮ่องกง จำเลยที่1มีหนังสือถึงผู้เกี่ยวข้องกับสินค้าบนเรือขอให้ใช้กฎแห่งการเฉลี่ยทั่วไปในรูปแบบของหลักประกันเฉลี่ยของบริษัทลอยด์ จำกัดจากผู้รับตราส่งสินค้าเรียกหนังสือค้ำประกันเพื่อกฎแห่งการเฉลี่ยอย่างไม่จำกัดจำนวนจากผู้รับประกันภัยสินค้าและขอให้ลงชื่อในแบบฟอร์มหลักประกันเฉลี่ยและหนังสือค้ำประกันเมื่อเรือสินค้ามาถึงประเทศไทยจำเลยที่1เป็นผู้แจ้งเรือเข้าต่อกรมเจ้าท่าและต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทยแจ้งให้กรมศุลกากรทราบว่าสินค้าที่บรรทุกมาบนเรือมีอะไรบ้างประกาศหนังสือพิมพ์ให้ผู้รับตราส่งทราบเพื่อให้นำใบตราส่งมาแลกกับใบปล่อยสินค้าซึ่งจำเลยที่1เป็นผู้ออกให้เพื่อไปรับสินค้าจากคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยจำเลยที่1เป็นผู้รับค่าระวางขนส่งจากผู้รับตราส่งมีหน้าที่ขนถ่ายสินค้าบนเรือทั้งหมดไปเก็บไว้ในคลังสินค้าและเมื่อเรือบรรทุกสินค้าไม่สามารถแล่นผ่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาจำเลยที่1ต้องหาเรือลำเลียงมาขนถ่ายสินค้าการดำเนินการดังกล่าวของจำเลยที่1เป็นวิธีการรับขนทางทะเลมีลักษณะร่วมกันขนส่งสินค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จำเลยที่1ประกาศหนังสือพิมพ์ให้ผู้รับตราส่งทราบเพื่อให้นำใบตราส่งมาแลกกับใบปล่อยสินค้าซึ่งจำเลยที่1เป็นผู้ออกให้เพื่อนำไปรับสินค้าจากคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นขั้นตอนสำคัญของการรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา615และมาตรา622จำเลยที่1จึงเป็นผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา618จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ เมื่อเรือบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักให้มากไม่สามารถเข้ามาที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้จำเลยที่1ได้ให้จำเลยที่2เป็นผู้ขนถ่ายสินค้าจากเรือบรรทุกสินค้าจากเกาะสีชังมากรุงเทพมหานครจำเลยที่2ได้ว่าจ้างจำเลยที่4และที่5ขนถ่ายสินค้าโดยมีจำเลยที่3เป็นคนขับเรือเล็กจำเลยที่2ที่4และที่5เป็นผู้ดำเนินการขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่สู่เรือเล็กแล้วนำเข้าเก็บไว้ในคลังสินค้าจึงถือได้ว่าจำเลยที่2ที่4และที่5เป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาทกับจำเลยที่1เพื่อให้สินค้าถึงผู้ซื้อในการขนส่งช่วงสุดท้ายจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่3มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของจำเลยที่4และที่5ซึ่งเป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาทจำเลยที่3จึงย่อมไม่ใช่ผู้ร่วมขนส่งหลายทอด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า บริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัดสั่งซื้อกากทานตะวันจากบริษัทคอมเฟช จำกัด ผู้ชายในเมืองฮ่องกงผู้ขายได้ว่าจ้างสายการเดินเรือชิโนทรานส์ ให้ทำการขนส่งสินค้ากากทานตะวันจำนวน 39,843 กระสอบ จากเมืองด้าเหลียน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมายังประเทศไทย เพื่อส่งมอบให้แก่บริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัด สายการเดินเรือชิโนทรานส์ใช้เรือบรรทุกสินค้าเหลียน ฮัว ชาน เป็นพาหนะในการขนส่งบริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัด ได้เอาประกันภัยสำหรับความเสียหายหรือความสูญหายของสินค้ากากทานตะวันในระหว่างขนส่งกับโจทก์สายการเดินเรือชิโนทรานส์ ผู้ขนส่งทอดแรกไม่มีสำนักงานสาขาในประเทศไทย จึงมอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมขนส่งอีกทอดหนึ่งโดยจำเลยที่ 1 ได้รับบำเหน็จตอบแทนตามอัตราทางการค้าของตนระหว่างเดินทาง เรือบรรทุกสินค้าเหลียน ฮัว ซาน เกิดไฟไหม้ต้องขนกากสินค้าทานตะวันที่เสียหายจำนวน 8,863 กระสอบขึ้นที่เมืองฮ่องกง แล้วเรือบรรทุกสินค้าเหลียน ฮัว ชาน เดินทางต่อมาถึงเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี แต่เรือบรรทุกสินค้าเหลียน ฮัว ชานไม่สามารถแล่นผ่านสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาท่าเรือกรุงเทพได้ จำเลยที่ 1 จึงมอบหมายให้จำเลยที่ 2 นำเรือลำเลียงมาขนส่งสินค้ากากทานตะวันต่ออีกทอดหนึ่งจากเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ไปคลังสินค้าของบริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัด ในกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 ตกลงรับขนต่อแต่เนื่องจากจำเลยที่ 2มีเรือลำเลียงไม่เพียงพอ จึงมอบหมายให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ทำการขนส่งสินค้ากากทานตะวันอีกทอดหนึ่ง จำเลยที่ 4 และที่ 5ตกลงรับขนโดยมอบให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างและเป็นนายท้ายเรือลำเลียงชื่อเอกนำชัย 4 มาขนถ่ายสินค้า ในระหว่างขนถ่ายสินค้านั้นด้วยความประมาทเลินเล่อ มิได้ดูแลระมัดระวังซ่อมแซมเรือลำเลียงเอกนำชัย 4 ให้อยู่ในสภาพใช้ในการขนส่งได้ดี ทำให้เรือลำเลียงเอกชัย 4 รั่วชำรุด น้ำทะเลรั่วเข้าไปในเรือ ทำให้สินค้ากากทานตะวันเปียกน้ำเสียหายเป็นจำนวน 4,491 กระสอบ คิดเป็นค่าเสียหายเท่ากับ786,993.58 บาท หลังจากได้รับสินค้ากากทานตะวันที่เปียกน้ำบริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัด ได้นำกากทานตะวันที่เสียหายจำนวน 4,491 กระสอบ ขายโดยวิธีการขายทอดตลาดได้เงินสุทธิมา114,700 บาท เมื่อนำเงินที่ขายทอดตลาดได้มาหักออกจากค่าเสียหายคงเหลือค่าเสียหาย 672,293.58 บาท จำเลยทั้งห้าในฐานะผู้ร่วมขนส่งมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัด บริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัดเรียกร้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยสินค้าชดใช้ค่าเสียหายโจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 672,293.58 บาท ให้แก่บริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2532จึงรับช่วงสิทธิของบริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัด ในอันที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยโจทก์ติดตามทวงถาม แต่จำเลยเพิกเฉย ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 20,445.08 บาท ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันและแทนกันชำระเงินจำนวน 692,738.66 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน672,293.58 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนของผู้ขนส่งทางทะเล ทำหน้าที่ประสานงานเพื่อให้การส่งมอบสินค้าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยผู้รับขนส่งเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้เป็นผู้รับขนหรือร่วมขนส่งอีกทอดหนึ่ง เรือเหลียน ฮัว ซาน ที่สายการเดินเรือชิโนทรานส์ใช้บรรทุกสินค้ารายพิพาทมีความจำเป็นต้องขนถ่ายสินค้าลงเรือลำเลียงเพื่อทำการขนส่งมายังกรุงเทพมหานคร สายการเดินเรือจึงมอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการแทน จำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขนส่งสินค้ารายนี้จากเกาะสีชังมายังกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 ติดต่อให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 จัดการขนส่งแทน เรือที่ใช้ลำเลียงสินค้าเป็นของจำเลยที่ 4 และที่ 5ระหว่างขนถ่ายสินค้าได้เกิดภาวะอากาศแปรปรวนอย่างกะทันหัน ทำให้คลื่นซัดเรือลำเลียงเอกนำชัย 4 ไปปะทะกับเรือบรรทุกสินค้าเหลียน ฮัว ซาน ทำให้ตะเข็บเรือส่วนล่างที่อยู่ในน้ำปริและน้ำซึมเข้าเรือ ทั้งที่ผู้ควบคุมเรือได้ใช้ความระมัดระวังอย่างดีแล้วความเสียหายเกิดจากเหตุสุดวิสัย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นนายท้ายเรือเอกนำชัย 4 เป็นเรือในสังกัดของจำเลยที่ 2 จึงมีฐานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังดูแลการรับขน ความเสียหายเกิดจากขณะขนถ่ายสินค้าได้เกิดมีลมพายุคลื่นลมแรงผิดปกติ ลูกคลื่นกระแทกพื้นใต้ท้องเรือตลอดเวลาทำให้เกิดรอยแตกที่พื้นทางเดินกลางลำเรือ ผู้ควบคุมตรวจตราของบริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัด ไม่ฟังคำคัดค้านของจำเลยที่ 3และให้ขนถ่ายสินค้าลงเรือลำเลียงเอกนำชัย 4จนครบ แล้วลากจูงไปถึงเกาะสีชัง ตอนเช้ามืดวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 จึงพบเหตุผิดปกติ น้ำซึมเข้าทางใต้ท้องเรือ เป็นเหตุให้สินค้าบนเรือบางส่วนเปียกน้ำเสียหาย ความเสียหายดังกล่าวจึงเป็นความผิดของผู้ตรวจตราการลงของของผู้รับตราส่ง ประกอบกับเหตุสุดวิสัย ซึ่งจำเลยที่ 3ในสภาพเช่นนั้นไม่อาจป้องกันได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 692,738.58 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่22 กุมภาพันธ์ 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องจำเลยที่ 2ถึงที่ 5
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนของสายการเดินเรือชิโนทรานส์เท่านั้น ไม่ได้เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาโต้แย้งว่า บริษัทกรุงไทยอาหารสัตว์ จำกัด ได้สั่งซื้อกากทานตะวันจากบริษัทคอมเฟซ จำกัด แล้วบริษัทคอมเฟซ จำกัด ได้ว่าจ้างสายการเดินเรือชิโนทรานส์ ให้ขนสินค้าจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมายังประเทศไทยโดยใช้เรือบรรทุกสินค้าเหลียน ฮัว ซาน แต่สายการเดินเรือชิโนทรานส์ไม่มีสาขาในประเทศไทย จึงให้จำเลยที่ 1ดำเนินการแทน เมื่อเรือบรรทุกสินค้าเหลียน ฮัว ซาน เกิดเพลิงไหม้ทำให้กากทานตะวันเสียหาย 8,863 กระสอบ จำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือถึงผู้เกี่ยวข้องกับสินค้าบนเรือเหลียน ฮัว ซาน ขอให้ใช้กฎแห่งการเฉลี่ยทั่วไปในรูปแบบของหลักประกันเฉลี่ยของบริษัทลอยด์จำกัด จากผู้รับตราส่งสินค้าเรียกหนังสือค้ำประกันเพื่อกฎแห่งการเฉลี่ยอย่างไม่จำกัดจำนวนจากผู้รับประกันภัยสินค้าและขอให้ลงชื่อในแบบฟอร์มหลักประกันเฉลี่ยและหนังสือค้ำประกันปรากฎตามเอกสารหมาย จ.38 เมื่อเรือสินค้ามาถึงประเทศไทยจำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งเรือเข้าต่อกรมเจ้าท่าตามเอกสารหมาย ล.1และต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย ล.2 แจ้งให้กรมศุลกากรทราบว่าสินค้าที่บรรทุกมาบนเรือมีอะไรบ้างตามเอกสารหมาย จ.37 ประกาศหนังสือพิมพ์ให้ผู้รับตราส่งทราบ เพื่อให้นำใบตราส่งมาแลกกับใบปล่อยสินค้าซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกให้เพื่อไปรับสินค้าจากคลังสินค้าจากคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับค่าระวางขนส่งจากผู้รับตราส่ง และจำเลยที่ 1มีหน้าที่ขนถ่ายสินค้าบนเรือทั้งหมดไปเก็บไว้ในคลังสินค้าและเมื่อเรือบรรทุกสินค้าไม่สามารถแล่นผ่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้จำเลยที่ 1 ต้องหาเรือลำเลียงมาขนถ่ายสินค้า เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เป็นวิธีการรับขนทางทะเล มีลักษณะร่วมกันขนส่งสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่จำเลยที่ 1 ประกาศหนังสือพิมพ์ให้ผู้รับตราส่งทราบ เพื่อให้นำใบตราส่งมาแลกกับใบปล่อยสินค้าซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกให้เพื่อนำไปรับสินค้าจากคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นขั้นตอนสำคัญของการรับขน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 615 และมาตรา 622จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขนส่งหลายคนหลายทอด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5เป็นผู้ขนส่งหลายทอด ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยโจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้เถียงว่า เมื่อเรือบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักมาก ไม่สามารถเข้ามาที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้ จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขนถ่ายสินค้าจากเรือบรรทุกสินค้าจากเกาะสีชังมากรุงเทพมหานคร และจำเลยที่ 2ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 4 และที่ 5 ขนถ่ายสินค้า โดยมีจำเลยที่ 3เป็นคนขับเรือเอกนำชัย 4 เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ดำเนินการขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่สู่เรือเล็กแล้วนำเข้าเก็บไว้ในคลังสินค้า จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาทกับจำเลยที่ 1 เพื่อให้สินค้านั้นถึงมือผู้ซื้อในการขนส่งช่วงสุดท้ายจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เช่นกันฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เพราะจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 กระทำโดยประมาทเลินเล่อในทางการที่จ้าง และเป็นผู้ร่วมขนส่งหลายทอดนั้นได้ความจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ว่า จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 และที่ 5 เมื่อจำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่งเป็นนายจ้างเป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาท จำเลยที่ 3ซึ่งมีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างเท่านั้น จึงย่อมไม่ใช่ผู้ร่วมขนส่งหลายทอดดังที่โจทก์ฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5ร่วมกันชำระเงินจำนวน 672,293.58 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน20,445.08 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์