แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่4ซึ่งจะต้องชำระภายในวันที่9กรกฎาคม2536เป็นต้นมาเพิ่งชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระหนี้ทั้งหมดในวันที่18มกราคม2537ก่อนที่จำเลยที่1จะถูกจับมาดำเนินคดีในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้เพียง1วันรายการชำระค่าเช่าซื้องวดที่4ถึงที่8จึงไม่ถูกต้องเพราะเป็นการลงรายการชำระค่าเช่าซื้อย้อนหลังเพื่อเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่1ไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันหลายงวดอันเป็นการส่อถึงความไม่สุจริตในการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลางเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่1ว่าหลังจากได้รับรถยนต์กระบะของกลางคืนแล้วผู้ร้องจะให้จำเลยที่1เช่าซื้อต่อไปรวมตลอดถึงข้อความตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อข้อ9ว่าในกรณีที่ผู้เช่าซื้อต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อแต่ไม่สามารถส่งมอบคืนให้ได้ผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ราคาทรัพย์สินเท่าราคาค่าเช่าซื้อพร้อมกับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าเสียหายต่างๆให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้นผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาไม่ติดตามยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนทั้งๆที่จำเลยที่1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันมาหลายงวดจนกระทั่งจำเลยที่1นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดและถูกริบในคดีนี้ผู้ร้องจึงมาขอรถยนต์ดังกล่าวคืนอันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1เข้าลักษณะเป็นผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่1ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลาง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ และริบไม้กับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียนบ-0684 เชียงใหม่ ของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 นำไปใช้ในการกระทำความผิดโดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วย ขอให้คืนรถยนต์กระบะของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า รถยนต์กระบะของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 หากเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องก็รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 และผู้ร้องขอคืนเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้คืนรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บ-0684 เชียงใหม่ ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยก คำร้อง
ผู้ร้อง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความรับและไม่โต้เถียงกัน อีกทั้งไม่อุทธรณ์ฎีกาต่อมาว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะของกลางตามสำเนาใบคู่มือการจดทะเบียนเอกสารหมาย ร.3 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2536 จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์กระบะดังกล่าวจากผู้ร้องในราคา 53,125 บาท ตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อ 30 งวด งวดละเดือน เดือนละ 1,770.85 บาท เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 9 เมษายน 2536 งวดสุดท้ายภายในวันที่9 กันยายน 2538 โดยนายไลย์ แสงผึ้ง เป็นผู้ค้ำประกันตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อและหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ร.4และ ร.5 ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 1 นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และสั่งริบรถยนต์กระบะของกลางคดีถึงที่สุด มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 หรือไม่ทางไต่สวนถึงแม้ผู้ร้อง จำเลยที่ 1 และนายชาราวุธ ห่อตันผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องจะเบิกความเป็นพยานผู้ร้องว่า ผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ แต่ในการตอบคำถามค้านของอัยการโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ยอมรับว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อสามเดือนแรกตรงตามกำหนด หลังจากนั้นไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อ จนกระทั่งวันที่ 18 มกราคม 2537 จึงนำเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไปชำระในคราวเดียวกันซึ่งผู้ร้องก็ยินยอมให้สัญญาเช่าซื้อมีผลต่อไป ตามที่บันทึกไว้รายการชำระค่าเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.6 จำเลยที่ 1 พูดกับผู้ร้องว่า หากเสร็จสิ้นการร้องขอคืนของกลางและผู้ร้องให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อต่อจำเลยที่ 1 ก็จะเช่าซื้อต่อ ซึ่งผู้ร้องตกลงด้วย ผู้ร้องไม่ได้ให้การโต้แย้งเพื่อขอคืนของกลางในชั้นพนักงานสอบสวน ตามคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 4 ซึ่งจะต้องชำระภายในวันที่9 กรกฎาคม 2536 เป็นต้นมา เพิ่งชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดในวันที่ 18 มกราคม 2537 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะถูกจับมาดำเนินคดีในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้เพียง 1 วัน รายการชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 4 ถึงที่ 8 จึงไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการลงรายการชำระค่าเช่าซื้อย้อนหลัง ทั้งนี้ ผู้ร้องคงจะกระทำไปเพื่อเป็นหลักฐานว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันหลายงวด อันเป็นการส่อถึงความไม่สุจริตในการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลาง เมื่อนำมาพิเคราะห์ประกอบกับข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ว่า หลังจากได้รับรถยนต์กระบะของกลางคืนแล้ว ผู้ร้องจะให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อต่อไป รวมตลอดถึงข้อความตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 ว่า ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ แต่ไม่สามารถส่งมอบคืนให้ได้ ผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ราคาทรัพย์สินเท่าราคาค่าเช่าซื้อพร้อมกับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ และค่าเสียหายต่าง ๆให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้นผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาไม่ติดตามยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันมาหลายงวด จนกระทั่งจำเลยที่ 1 นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดและถูกริบในคดีนี้ ผู้ร้องจึงมาขอรถยนต์ดังกล่าวคืนซึ่งเห็นได้ว่า เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1เข้าลักษณะผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลาง
พิพากษายืน