แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องหาว่าจำเลยขับรถยนต์ประมาทชนรถยนต์ของผู้อื่นเป็นเหตุให้มีคนบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส ข้อสารสำคัญของคดีอยู่ที่ว่า รถของจำเลยชนกับรถของผู้อื่นจริงหรือไม่และฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาท แม้ในคำฟ้องจะกล่าวถึงหมายเลขทะเบียนรถยนต์คันที่ถูกชนไว้เป็นอย่างหนึ่ง แต่โจทก์นำสืบในทางพิจารณากลับได้ความเป็นหมายเลขทะเบียนอีกอย่างหนึ่งข้อแตกต่างซึ่งมีเฉพาะหมายเลขทะเบียนรถคันที่ถูกชนเท่านั้นจึงไม่ใช่ข้อสารสำคัญ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่น ๆ จำเลยยอมรับว่ารถของจำเลยชนกับรถของผู้อื่น (ที่กล่าวชื่อมาในฟ้อง)อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าทางพิจารณาได้ความแตกต่างกับฟ้องจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ขึ้นสะพานกรุงธนในขณะฝนตกถนนลื่นโดยประมาท ไม่เว้นระยะให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรแก่ความปลอดภัย พอรถคันหน้าหยุด จำเลยได้ห้ามล้อโดยแรง ทำให้รถยนต์ของจำเลยแฉลบไปทางขวา ชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ณ 4063ของ ดร.กุณฑล ไชยเศรษฐ์ เป็นเหตุให้ ดร. กุณฑล ไชยเศรษฐ์ ได้รับอันตรายแก่กาย นางผ่องพรรณ ไชยเศรษฐ์ ซึ่งนั่งมาในรถของดร.กุณฑล บาดเจ็บถึงสาหัส และนางวัจณา กุญชระรินทร์ ที่นั่งมาในรถยนต์ของจำเลยได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390, 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 มาตรา 29, 66แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2508 มาตรา 7, 13
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายกุณฑล ไชยเศรษฐ์ ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาทำให้นายกุณฑลได้รับบาดเจ็บโดยประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาท ด้วยความเร็วสูงขณะฝนตกถนนลื่น การจราจรคับคั่ง ชนรถยนต์ ก.ท.ฐ 5424เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งนั่งมาในรถยนต์ ก.ท.ฐ 5424 ได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส รูปหน้าเสียโฉม ทุพพลภาพไปตลอดชีวิต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300
ศาลแขวงธนบุรีสั่งประทับฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ประทับฟ้องในข้อหาประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาคดีสองสำนวนนี้เข้ากับคดีที่นางผ่องพรรณ ไชยเศรษฐ์ ฟ้องนางสุรางค์ศรี คำนึงสุข เป็นจำเลยเข้าด้วยกัน แล้วยกฟ้องคดีที่นางผ่องพรรณเป็นโจทก์ฟ้องนางสุรางค์ศรีเป็นจำเลย ส่วนอีกสองคดีนี้วินิจฉัยว่า นางสุรางค์ศรีเป็นฝ่ายขับรถยนต์ประมาทชนรถยนต์นายกุณฑล นายกุณฑลไม่ได้เป็นฝ่ายประมาทพิพากษาว่านางสุรางค์ศรีจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390, 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2508มาตรา 7, 13 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 เดือน ปรับ 300บาท ยกโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55 คงปรับสถานเดียวไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ยกฟ้องนอกจากนี้เสีย
นางสุรางค์ศรีจำเลยและนางวัจณาโจทก์ อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นไม่รับเพราะเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯพ.ศ.2499 มาตรา 22
นางสุรางค์ศรีจำเลยและนางวัจณาโจทก์ อุทธรณ์คำสั่ง อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็น อุทธรณ์ข้อเท็จจริง จึงสั่งยืนตามคำสั่งศาลแขวงธนบุรี
นางสุรางค์ศรีจำเลยและนางวัจณาโจทก์ ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์
ศาลแขวงธนบุรีไม่รับอ้างเหตุว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224
นางสุรางค์ศรีจำเลยและนางวัจณาโจทก์ อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งไม่รับอุทธรณ์หาถึงที่สุดไม่ จึงสั่งให้รับคำร้องฎีกาไว้ และตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า ข้อฎีกาของนางสุรางค์ศรีจำเลยและนางวัจณาโจทก์ที่ว่า ที่ศาลชั้นต้นฟังว่านางสุรางค์ศรีจำเลยเป็นฝ่ายประมาทนั้น คลาดเคลื่อนที่ถูกต้องฟังว่านายกุณฑลเป็นฝ่ายประมาท เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ข้ออุทธรณ์ที่ว่า ศาลชั้นต้นฟังว่า รถของนายกุณฑลวิ่งช้าลงเพราะวิ่งขึ้นในที่ลาดชันขึ้นสะพาน เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือถ้อยคำสำนวนเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายกุณฑลขับรถขึ้นสะพานก็เป็นการแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่ารถต้องวิ่งขึ้นสะพานอันเป็นที่สูงกว่าระดับพื้นราบ จึงเป็นการฟังจากข้อเท็จจริงในสำนวน อุทธรณ์ข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
นางสุรางค์ศรีจำเลยอุทธรณ์อีกข้อหนึ่งว่า คดีดำที่ 1939/2513(ผู้ว่าคดีศาลแขวงธนบุรี โจทก์ นายกุณฑล ไชยเศรษฐ์ โจทก์ร่วมนางสุรางค์ศรี คำนึงสุข จำเลย) นั้น ทางพิจารณาโจทก์นำสืบแตกต่างกับฟ้อง โดยกล่าวในฟ้องว่า รถนางสุรางค์ศรีชนกับรถ ก.ท.ณ 4063 ของนายกุณฑล ไชยเศรษฐ์ แต่ทางพิจารณาโจทก์กลับนำสืบว่า รถของนางสุรางค์ศรีชนกับรถ ก.ท.ณ 8763 ของนายกุณฑล ไชยเศรษฐ์ เมื่อทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องและเป็นข้อสารสำคัญซึ่งจำเลยหลงข้อต่อสู้ ต้องยกฟ้องโจทก์จึงจะชอบ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่เป็นที่เห็นได้ว่าข้อแตกต่างมีเฉพาะหมายเลขทะเบียนรถที่ถูกชนเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ข้อสารสำคัญ ข้อสารสำคัญของคดีอยู่ที่ว่ารถของนางสุรางค์ศรีจำเลยชนกับรถของนายกุณฑล ไชยเศรษฐ์ จริงหรือไม่ และฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาท อุทธรณ์ข้ออื่นของนางสุรางค์ศรีจำเลยก็ยอมรับว่ารถของนางสุรางค์ศรีจำเลยชนกับรถของนายกุณฑล ไชยเศรษฐ์ ฉะนั้น แม้อุทธรณ์ของนางสุรางค์ศรีจำเลยจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ศาลอุทธรณ์สั่งไม่รับอุทธรณ์ทุกข้อของนางสุรางค์ศรีจำเลยและนางวัจณา กุญชระรินทร์โจทก์ ชอบแล้ว
พิพากษายืน