แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยจำเลยจะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินทั้งหมดภายในและภายนอกห้ามพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยมีหน้าที่ดูแลรถยนต์ทุกคันที่นำมาจอดรับมอบและเก็บรักษากุญแจรถไว้และพนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องดูแลทรัพย์สินของห้างในบริเวณโรงงานและรถยนต์ที่จอดอยู่นอกโรงงานด้วยและต้องเขียนรายงานเหตุการณ์ทุกๆชั่วโมงการที่ว.นำรถไปจอดแล้วนำกุญแจรถมามอบให้แก่ส.พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยและส.รับมอบกุญแจรถไว้โดยมิได้ทักท้วงซึ่งแสดงว่าว.นำรถไปจอดในเขตความรับผิดชอบดูแลของพนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของจำเลยแล้วต่อมามีคนร้ายลักรถยนต์คันดังกล่าวไปแสดงว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของจำเลยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญารับจ้างรักษาความปลอดภัยกับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม.พี.ลักก์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2535ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2536 เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2536 เวลา23 นาฬิกา นายวิชัย ภูนวล ลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดเอ็ม.พี.ลักก์ ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฌ-0355 กรุงเทพมหานครซึ่งประกันภัยไว้กับโจทก์ ไปจอดไว้บริเวณลานจอดรถหน้าห้างหุ้นส่วนดังกล่าวแล้วมอบกุญแจรถยนต์ไว้กับลูกจ้างของจำเลยที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย ต่อมาในระหว่างวันที่ 9 มกราคม 2536 ถึงวันที่10 มกราคม 2536 รถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฌ-0355 กรุงเทพมหานครถูกโจรกรรมขณะที่ลูกจ้างของจำเลยปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ การที่ลูกจ้างของจำเลยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควร ปล่อยให้รถยนต์ถูกโจรกรรม ถือว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างรักษาความปลอดภัย ต้องชดใช้ราคารถยนต์ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม.พี.ลักก์ แต่โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยชดใช้เงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอ็ม.พี.ลักก์ ตามกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว 110,000 บาท จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องไล่เบี้ยจากจำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 มิถุนายนต 2536 จนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย 4,695 บาท รวมเป็น 114,695 บาท และจำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวในต้นเงิน 110,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อตามสัญญารับจ้างรักษาความปลอดภัยกำหนดให้จำเลยจัดพนักงานรักษาความปลอดภัยมาดูแลรักษาเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ภายในโรงงานของห้างหุ้นส่วนจำกัดเอ็ม.พี.ลักก์ เท่านั้น ไม่รวมกับทรัพย์สินที่อยู่นอกโรงงาน วันเกิดเหตุลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดเอ็ม.พี.ลักก์ ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฌ-0355 กรุงเทพมหานครไปจอดนอกเขตความรับผิดชอบในการดูแลของลูกจ้างจำเลยจนเป็นเหตุให้รถยนต์คันดังกล่าวถูกโจรกรรมไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 114,695 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 110,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอ็ม.พี.ลักก์ ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทจำเลยให้จัดพนักงานรักษาความปลอดภัยไปเป็นผู้คุ้มครองปกป้องรักษาทรัพย์สินของห้างซึ่งตั้งอยู่ใกล้โรงเรียนตำรวจนครบาลบางเขน ในวันเกิดเหตุจำเลยจัดให้นายรังสรรค์ มณเฑียรทอง และนายสันติ ด้วงแดงโชติลูกจ้างของจำเลยไปปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยตามสัญญา เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2536 ขณะที่นายสันติ ด้วงแดงโชติปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ ปรากฏว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฌ-0355 กรุงเทพมหานคร ของห้างหุ้นส่วนจำกัดเอ็ม.พี.ลักก์ ซึ่งประกันภัยไว้กับโจทก์ได้หายไปจากบริเวณที่จอด โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน110,000 บาท ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอ็ม.พี.ลักก์ ไปแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์นั้น โจทก์มีนายทวีศักดิ์พงษ์พิเดช เบิกความว่าตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยจำเลยจะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินทั้งหมดทั้งภายในและภายนอกห้าง พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยมีหน้าที่ดูแลรถยนต์ทุกคันที่นำมาจอด รับมอบและเก็บรักษากุญแจรถไว้ และนายรังสรรค์ มณเฑียรทอง ลูกจ้างของจำเลยมาเป็นพยานโจทก์เบิกความว่า พนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องดูแลทรัพย์สินของห้างในบริเวณโรงงาน และรถยนต์ที่จอดอยู่นอกโรงงานด้วย และต้องเขียนรายงานเหตุการณ์ทุก ๆ ชั่วโมง พยานทราบว่ารถยนต์หายไป 1 คันซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของนายสันติ ด้วงแดงโชติ พนักงานรักษาความปลอดภัยอีกคนหนึ่ง พยานจึงไปแจ้งให้นายสำรวย คล้ายสิทธิ์ทราบส่วนจำเลยมีนายบุญไทย ทวีกุล เบิกความว่าในวันที่รถยนต์หายพยานไปสอบปากคำนายสันติ ด้วยแดงโชติ ตามบันทึกเอกสารหมาย ล.1ได้ความว่า นายวิชัยนำรถยนต์ไปจอดติดกำแพงโรงเรียนตำรวจนครบาลบางเขน ห่างจากที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยประมาณ100 เมตร จึงไม่อยู่ในเขตความรับผิดชอบตามสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัย เห็นว่า จำเลยไม่ได้ตัวนายสันติ ด้วงแดงโชติมาเบิกความต่อศาล ทั้งบันทึกถ้อยคำของนายสันติ ซึ่งนายบุญไทยเป็นผู้บันทึกไว้ก็มิได้ให้นายสันติลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องไว้ จำเลยจึงไม่มีพยานสนับสนุน เมื่อนายวิชัยนำรถไปจอดแล้วนำกุญแจรถมามอบให้แก่นายสันติ ด้วงแดงโชติ นายสันติก็รับมอบกุญแจรถไว้ โดยมิได้ทักท้วงในขณะนั้น แสดงว่า นายวิชัยนำรถไปจอดในเขตความรับผิดชอบดูแลของนายสันติ พนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของจำเลย ต่อมามีคนร้ายลักรถยนต์คันดังกล่าวไปแสดงว่า พนักงานรักษาความปลอดภัยลูกจ้างของจำเลยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากห้างหุ้นส่วนจำกัดเอ็ม.พี.ลักก์
พิพากษายืน