แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เช่าซื้อรถยนต์ ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ต่อผู้ให้เช่าซื้อ ย่อมมีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวตาม ป.พ.พ.มาตรา 863 ได้ และเมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยแล้วย่อมได้รับช่วงสิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิดได้ตาม มาตรา 227 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปส่งคนงานของจำเลยที่ 2 ตามที่ต่าง ๆแล้วเกิดเหตุขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กลับสำนักงานของจำเลยที่ 2ตามเส้นทางการทำงานของจำเลยที่ 2 จึงถือได้ว่าเกิดเหตุขณะกระทำการ ในทางการของจำเลยที่ 2 แม้ในระหว่างทางจำเลยที่ 1 จะได้แวะ ทำธุระ ส่วนตัวบ้างก็ไม่ทำให้การนำรถยนต์เข้าเก็บที่สำนักงานของจำเลย ที่ 2 พ้นจากการกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่สองร่วมกันชำระเงินฐานกระทำละเมิด 89,971 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 85,180 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน9ย – 0931 กรุงเทพมหานคร ไม่ใช่ของนางสาวผาสุข เลาหประสิทธิพรนางสาวผาสุขจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่โจทก์จะรับช่วงสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ การที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปชนกันนี้ไม่ใช่การกระทำตามหน้าที่หรือในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และเกิดจากความประมาทของนายเผดิมชัย กุลางกูร ไม่ใช่ความประมาทของจำเลยที่ 1 ค่าซ่อมรถยนต์ไม่เกิน 30,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 89,971 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 85,180 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าสัญญาประกันภัยซึ่งนางสาวผาสุข เลาหประสิทธิพร ผู้เอาประกันภัยมิใช่เจ้าของรถยนต์ที่โจทก์ประกันภัยไว้ผูกพันคู่กรณีหรือไม่ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่และโจทก์เสียหายเพียงใด ซึ่งศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยตามลำดับไป
ปัญหาว่า นางสาวผาสุขผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่เอาประกันภัยมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ดังกล่าว สัญญาประกันภัยจะผูกพันคู่กรณีหรือไม่นั้นฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยว่านางสาวผาสุขเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยข้อเท็จจริงต้องฟังว่านางสาวผาสุขเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวนางสาวผาสุขจึงต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของรถยนต์คันที่เอาประกันภัยต่อผู้ให้เช่าซื้อ มีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 ได้ สัญญาประกันภัยจึงผูกพันคู่กรณี เมื่อเกิดภยันตรายขึ้นแก่รถยนต์ที่เอาประกันภัยโจทก์ผู้รับประกันภัยย่อมต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันและเมื่อได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยแล้วย่อมได้รับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 227 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในปัญหาข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์จ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งมิใช่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยเป็นการจ่ายเงินให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิได้รับเงิน เป็นการใช้สิทธิโดยไม่ชอบ โจทก์กับนางสาวผาสุขสมคบกันฉ้อฉลจำเลยที่ 2 นั้นเห็นว่า ปัญหานี้จำเลยที่ 2 เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาจึงไม่ใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาต่อไปจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มิได้กระทำการที่จ้างของจำเลยที่ 2 นั้นโจทก์มีนายเกรียงศักดิ์ชัยประทุม กับร้อยตำรวจโทไพบูลย์ คงกิตติโสภี เบิกความเป็นพยานว่านายแผงซึ่งทำงานอยู่กับจำเลยที่ 2 และนายรุ่งเรือง โรจนัยลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปส่งคนงานของจำเลยที่ 2 ตามที่ต่าง ๆ เกิดเหตุขณะที่จำเลยที่ 1ขับรถยนต์กลับสำนักงานของจำเลยที่ 2 ตามเส้นทางการทำงานของจำเลยที่ 2 จึงถือได้ว่าเกิดเหตุขณะกระทำการในทางการของจำเลยที่ 2 แม้ในระหว่างทางจำเลยที่ 1 จะได้แวะทำธุระส่วนตัวบ้างก็ไม่ทำให้การนำรถยนต์เข้าเก็บที่สำนักงานของจำเลยที่ 2 พ้นจากการกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ฎีกาของจำเลยที่ 2ฟังไม่ขึ้น
ส่วนในเรื่องค่าเสียหายนั้น โจทก์มีนางสาวผาสุขเบิกความว่ารถที่เอาประกันภัยได้รับความชำรุดเสียหายจริงตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องโดยมีนายสมบูรณ์ ดอเลาะ ผู้ตรวจความเสียหายและประเมินรายการซ่อมมาเบิกความสนับสนุนฟังได้ว่ารถยนต์ของผู้เอาประกันภัยต้องซ่อมตามรายการต่าง ๆ ดังเอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาลไว้ โจทก์จ่ายเงินชดใช้ให้ผู้เอาประกันภัยไปตามที่ฟ้องจริง ส่วนจำเลยที่ 2 คงมีนายรุ่งเรือง เบิกความว่า เคยให้นายฉล่ายหรือซังตีราคาค่าซ่อมรถยนต์ฝ่ายโจทก์แล้ว นายฉล่ายหรือซังตีราคาค่าซ่อมเป็นเงิน40,000 บาท แต่โจทก์หาได้นำนายฉล่ายหรือซังมาเบิกความเป็นพยานไม่กลับนำนายสมชาย กุศลนิรัตน์วงศ์ ซึ่งเคยเห็นแต่รูปถ่ายของรถยนต์ที่เสียหายมาเบิกความรับรองว่าค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ไม่เกิน40,000 บาท คำเบิกความของนายสมชายหามีน้ำหนักไม่ พยานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาในเรื่องค่าเสียหายถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในเรื่องค่าเสียหายฟังไม่ขึ้นอีกเช่นเดียวกับฎีกาข้ออื่น ๆ ”
พิพากษายืน.