คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมีเจตนาขอกู้ยืมเงินโจทก์ โจทก์ไม่ยอมให้กู้แต่ประสงค์ให้ทำสัญญาขายฝาก เมื่อจำเลยตกลงทำสัญญาขายฝากที่ดินตามความประสงค์ของโจทก์โดยความสมัครใจของจำเลยเอง สัญญาขายฝากจึงมิได้กระทำขึ้นด้วยการสมรู้ของโจทก์จำเลยเพื่ออำพรางการกู้ยืมหรือจำนองสัญญาขายฝากจึงมิใช่นิติกรรมอำพราง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากที่ดินโจทก์ ครบกำหนดแล้วไม่ไถ่ถอนและไม่ยอมออกไปจากที่ดินที่ขายฝาก ขอให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์ออกจากที่พิพาท ส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ และใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การว่า จำเลยกู้เงินโจทก์โดยเอาที่พิพาทเป็นหลักทรัพย์จำนองประกันหนี้ แต่โจทก์ขอให้จำเลยขายฝากไว้แทนจำนองโดยโจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน และคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย สัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้เงินและจำนอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากห้องแถวและที่พิพาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2525 จำเลยนำที่ดินโฉนดที่ 759 ตำบลเมืองใต้อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมห้องแถวไม้ 2 หลังบนที่ดินจดทะเบียนขายฝากให้แก่โจทก์เป็นเงิน 70,000 บาท มีกำหนด1 ปีหลังจากขายฝากแล้วจำเลยได้อยู่ในที่พิพาทตลอดมา เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ไถ่ถอนการขายฝากและคงอยู่ในที่พิพาท โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาท มีปัญหาในชั้นฎีกาว่า สัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้และสัญญาจำนองหรือไม่ จำเลยเบิกความว่าก่อนกู้เงินโจทก์โจทก์และสามีให้จำเลยนำโฉนดที่ดินไปดูก่อนเมื่อดูแล้วโจทก์ให้จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดินเป็นประกันเงินกู้ยืมแล้วจำเลยทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดิน เป็นเงิน 70,000 บาท จำเลยรับเงินเพียง 55,000 บาท โดยโจทก์จ่ายเงินให้นายสวัสดิ์ คำนึง48,000 บาท โจทก์หักเป็นค่าดอกเบี้ยล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 5ต่อเดือน มีกำหนด 1 เดือน เป็นเงิน 2,750 บาท นอกจากนั้นโจทก์หักไว้เป็นค่าธรรมเนียม และต่อมาจำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์อีก2 เดือน เดือนละ 2,750 บาท นายไสว ดวงแก้ว สามีจำเลยเบิกความว่า ในการติดต่อขอกู้เงินสามีโจทก์ สามีโจทก์บอกว่าถ้าเขียนแต่สัญญากู้ธรรมดา จะไม่ให้กู้ ต้องทำเป็นเรื่องขายฝากจึงจะให้กู้ เห็นว่า ตามคำเบิกความของจำเลยและนายไสวพยานจำเลยไม่ปรากฏว่าคู่กรณีได้กล่าวถึงเรื่องจำนอง แม้จำเลยจะมีเจตนาขอกู้ยืมเงิน แต่โจทก์ไม่ยอมให้กู้ตามวิธีดังกล่าว โดยโจทก์ประสงค์ให้ทำเป็นเรื่องขายฝาก และจำเลยตกลงทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินตามความประสงค์ของโจทก์ ข้อนำสืบของจำเลยในข้อที่ว่าโจทก์ให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือนของต้นเงิน55,000 บาท เป็นเงินเดือนละ 2,750 บาท จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้แล้ว 3 เดือน นั้น เป็นข้อนำสืบที่ขัดกับคำให้การของจำเลยที่อ้างว่าเงินที่จำเลยกู้จากโจทก์แท้จริงเพียง 55,000 บาทแต่โจทก์ได้คิดดอกเบี้ยล่วงหน้าเพื่อที่จำเลยจะไม่ต้องส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือนบวกเข้าไว้ในสัญญาอีก 15,000 บาท ยอดเงินกู้ตามสัญญาขายฝากจึงเป็น 70,000 บาท ตามคำให้การแสดงว่าจำเลยไม่ต้องส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือน แต่ตามข้อนำสืบแสดงว่าโจทก์ได้เรียกดอกเบี้ยซ้ำซ้อนเป็นรายเดือนอีกเท่ากับเพิ่มดอกเบี้ยขึ้นอีกมาก และไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นพิรุธ จำเลยเคยขายฝากที่ดินบุคคลอื่นมาแล้วประมาณ 10 รายย่อมเข้าใจในเรื่องการขายฝากดีและไม่ปรากฏว่าบุคคลอื่นได้เรียกดอกเบี้ยหรือไม่ โดยเฉพาะนายสวัสดิ์ไม่ได้เรียกดอกเบี้ยหากเป็นเรื่องกู้ยืมไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะกู้ยืมเงินโจทก์ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยซ้ำซ้อนรวมแล้วประมาณร้อยละเจ็ดต่อเดือนข้ออ้างที่ว่าได้ชำระดอกเบี้ยไปแล้วก็เป็นข้ออ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานการชำระเงินแต่อย่างใด นางหนู สีดาทอง พยานจำเลยเบิกความว่าเคยกู้ยืมเงินโจทก์ 10,000 บาท แต่จดทะเบียนสัญญาขายฝาก 17,000บาท ได้ส่งดอกเบี้ยให้โจทก์ 1 ปี และนายเมือง กิ่งก้าน พยานจำเลยเบิกความว่า กู้ยืมเงินโจทก์ 10,000 บาท แต่จดทะเบียนสัญญาขายฝาก17,000 บาทและต้องเสียดอกเบี้ยทุกเดือน พยานได้เสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ 2-3 เดือน เป็นการนำสืบที่อ้างว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยซ้ำซ้อน เป็นพิรุธเช่นเดียวกับข้ออ้างของจำเลย ทั้งเป็นข้ออ้างลอย ๆไม่มีหลักฐานการชำระเงิน ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ให้กู้ยืมเงินและเรียกดอกเบี้ยจากจำเลย การที่โจทก์ไม่เข้าครอบครองทรัพย์ที่ซื้อฝากทันทีก็ไม่ใช่เหตุผลที่แสดงว่าคู่สัญญามิได้มีเจตนาจะให้มีการบังคับตามสัญญาขายฝากหรืออำพรางนิติกรรมจำนองดังที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด เพราะเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะใช้สิทธินั้นทันทีหรือไม่ นายระเบียบ พรหมประดิษฐ์ พยานจำเลยเบิกความว่าพยานได้ขายฝากที่ดินแก่โจทก์และสามี ขณะนี้พยานไม่ได้ชำระหนี้ที่ดินตกเป็นของโจทก์และสามี สามีโจทก์ให้คนอื่นเช่าทำนาแล้วเป็นการนำสืบที่เจือสมพยานโจทก์ ที่แสดงว่าโจทก์ได้บังคับตามสัญญาขายฝาก ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาขายฝากโดยความสมัครใจของจำเลยเอง สัญญาขายฝากมิได้กระทำขึ้นด้วยการสมรู้ของโจทก์จำเลยที่ทำเพื่ออำพรางการกู้ยืมเงินหรือจำนอง สัญญาขายฝากจึงมิใช่นิติกรรมอำพราง ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่พิพาทอีกต่อไปที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share