คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ ซึ่งให้จำเลยเช่าและได้บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยให้การว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของจำเลยได้ครอบครองมา 20 ปีแล้ว ไม่เคยเช่าจากโจทก์ คำให้การดังนี้ไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จึงไม่มีทางที่จะอ้างสิทธิตามมาตรา 1375 ได้ แม้โจทก์จะเบิกความว่าเมื่อโจทก์ไปทวงค่าเช่า จำเลยโต้เถียงว่าเป็นนาของจำเลย ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครอง เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การ และไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2514)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ๑ แปลง จำเลยเช่าที่ดินแปลงนี้จากโจทก์ ๑ ปี ปรากฏตามสัญญาเช่าท้ายฟ้อง เมื่อครบอายุการเช่าแล้วจำเลยบอกเลิกการเช่า จำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดิน ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นของจำเลย ได้ครอบครองมา ๒๐ ปีเศษแล้ว ไม่เคยเช่าจากโจทก์ สัญญาเช่าท้ายฟ้องเป็นสัญญาเช่านาแปลงอื่น จำเลยลงลายมือชื่อผู้เช่าในแบบสัญญา ยังไม่ได้กรอกข้อความอื่นจำเลยไว้ใจโจทก์ว่าคงกรอกข้อความตามที่ตกลงกันไว้ แต่กลับปรากฏว่าจำเลยเช่าที่ดินโจทก์แปลงที่ฟ้อง ซึ่งผิดจากที่ตกลงกัน สัญญาเช่าจึงมิชอบและไม่สมบูรณ์
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารและให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินตัวโจทก์เบิกความว่า ได้ไปทวงค่าเช่าจากจำเลยเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๐๘ แต่จำเลยโต้เถียงว่าเป็นที่นาของจำเลย จึงฟังได้ว่าจำเลยได้แสดงกิริยาโต้แย้งแย่งการครอบครองของโจทก์ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๐๘ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๙ เป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปีแล้ว แม้ที่พิพาทจะเป็นของโจทก์โจทก์ก็เสียงสิทธิที่จะฟ้องเรียกที่พิพาทคืนได้ เพราะมิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน ๑ ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นต่อไป พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงเสียก่อน โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทนี้เป็นที่ที่นายท่วมบิดาจำเลยขายฝากไว้แก่นายปุ๋ยบิดาโจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์จริง เมื่อฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยเช่า การที่จำเลยครอบครองที่พิพาท จึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ แม้จะครอบครองอยู่สักกี่ปี จำเลยก็ไม่อาจจะยกเอามาตรา ๑๓๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้นอ้างได้ นอกจากจะได้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา ๑๓๘๑ เสียก่อน จึงจะอ้างสิทธิครอบครองตามมาตรา ๑๓๗๕ ได้ แต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือแต่อย่างใดเลย ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือ จึงไม่มีทางจะอ้างสิทธิตามมาตรา ๑๓๗๕ ได้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้แสดงกิริยาโต้แย้งแย่งการครอบครองของโจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การ และไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share