คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยจะอ้างในคำให้การต่อสู้คดีว่า การสมรสระหว่างจำเลยกับบุคคลอื่นเป็นโมฆะหรือโมฆียะไม่ได้ นอกจากศาลพิพากษาว่าเป็นเช่นนั้น
การเพิกถอนการสมรสมีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1496 โดยอนุโลมตามมาตรา 1511

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ประกอบพิธีสมรสกับจำเลยและได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลย ณ ที่ว่าการอำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี ทะเบียนเลขที่ 437/8527 ต่อมาไม่ถึงเดือน โจทก์ได้ทราบว่า จำเลยได้เคยจดทะเบียนสมรสกับนายไพฑูรย์มาก่อน ตามทะเบียนเลขที่ ก.1/1 ของสำนักงานทะเบียนอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการผิดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3) และ 1451 เป็นโมฆะตามมาตรา 1490 ขอให้ศาลพิพากษาว่าทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ

จำเลยให้การว่า การจดทะเบียนสมรสครั้งแรกระหว่างนายไพฑูรย์กับจำเลยนั้น จำเลยกระทำไปโดยถูกข่มขู่หลอกลวงและโดยความสำคัญผิดของจำเลยซึ่งไม่ทราบว่าเป็นทะเบียนสมรส ขณะจดทะเบียนสมรส จำเลยก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ การสมรสระหว่างนายไพฑูรย์กับจำเลยจึงเป็นโมฆียะ ขณะนี้บิดาของจำเลยได้ฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสระหว่างนายไพฑูรย์กับจำเลย และอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลแพ่ง ขอให้ยกฟ้อง

คู่ความรับกันว่า ขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์นั้น จำเลยได้จดทะเบียนสมรสครั้งแรกอยู่กับนายไพฑูรย์และทะเบียนสมรสนั้นยังอยู่ ไม่ปรากฏว่าศาลได้เพิกถอน ฝ่ายจำเลยขอให้ศาลรอฟังผลของคดีแพ่งซึ่งบิดาจำเลยได้ฟ้องนายไพฑูรย์ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสดังกล่าวอยู่ หากคดีนั้นผลเป็นประการใด จำเลยขอถือตามผลของคดีนั้น ฝ่ายโจทก์ว่าไม่ควรต้องรอ

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป และวินิจฉัยว่า ขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์นั้น จำเลยได้จดทะเบียนสมรสครั้งแรกอยู่กับนายไพฑูรย์ และทะเบียนสมรสนั้นไม่ปรากฏว่าศาลได้เพิกถอน จึงถือว่าขณะโจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสนั้นจำเลยยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น เป็นการผิดบทบัญญัติมาตรา 1445(3)และถือว่าเป็นโมฆะตามมาตรา 1490 พิพากษาว่า ทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยจะอ้างในคำให้การต่อสู้คดีว่า การสมรสระหว่างจำเลยกับนายไพฑูรย์เป็นโมฆะหรือโมฆียะไม่ได้ นอกจากศาลจะพิพากษาว่าเป็นเช่นนั้น โดยเหตุนี้ ขณะใดที่ศาลยังไม่ได้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับนายไพฑูรย์เป็นโมฆะหรือโมฆียะแล้วก็ต้องถือว่า เวลาจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์คดีนี้ จำเลยยังเป็นคู่สมรสของชายอื่นอยู่ ฉะนั้น การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นโมฆะ ฯลฯ

ฎีกาจำเลยขอให้รอคดีนี้ไว้ก่อนหรือฟังผลของคดีแพ่งซึ่งบิดาจำเลยกำลังฟ้องไว้นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 1496 กล่าวว่า เมื่อมีการเพิกถอนการสมรส ให้นำบทบัญญัติอันว่าด้วยการขาดจากการสมรสโดยการหย่าตามคำพิพากษาของศาลมาบังคับโดยอนุโลม ส่วนการหย่าตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าวนี้ จะมีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามมาตรา 1511 ฉะนั้น หากคดีแพ่งดังกล่าวศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสระหว่างจำเลยกับนายไพฑูรย์แล้ว ก็มีผลตั้งแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งเป็นการภายหลังการจดทะเบียนสมรสในคดีนี้ อันเป็นโมฆะไปก่อนแล้วนั่นเอง การเพิกถอนการสมรสระหว่างจำเลยกับนายไพฑูรย์หามีผลมาแต่แรกเริ่มดังที่จำเลยฎีกาไม่

พิพากษายืน

Share