คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1027/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าตึกพิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่าตึกพิพาทยังเป็นของจำเลยไม่ใช่ของโจทก์และขอให้ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง ดังนี้ ความในฟ้องแย้งแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยขอให้ศาลชี้กรรมสิทธิ์ว่าตึกเป็นของจำเลยด้วย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ จำเลยจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาตึกพิพาทด้วย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 20/2513)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 6343 และสิ่งปลูกสร้างในที่ดินนั้นรวมทั้งตึกแถวเลขที่ 696 ด้วย จำเลยเช่าที่ดินโฉนดดังกล่าวบางส่วนกับตึกแถวเลขที่ 696 จาก ม.ร.ว.ลดา ยุคล ม.ร.ว.ลดา ยุคล ยกให้นายธีระ อูนากูล และสัญญาเช่าได้สิ้นสุดลงแล้ว จำเลยยังไม่ยอมออกไปต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินนี้กับสิ่งปลูกสร้างมา และไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ต่อไปได้บอกกล่าวขับไล่แล้วจำเลยก็เพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า หากนายธีระขายให้โจทก์จริง ก็เป็นการสมยอมกัน ม.ร.ว.ลดา ยุคล ตกลงให้จำเลยสร้างห้องแถวดังกล่าวในที่ดินของ ม.ร.ว.ลดา ยุคล โดยให้จำเลยเสียค่าหน้าที่ดินและเสียค่าตอบแทนอีก 12 ปีเมื่อครบ 12 ปี จำเลยจะต้องยกกรรมสิทธิ์ตึกแถวให้ ม.ร.ว.ลดา ยุคล หากโจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ในตึกแถวไปก็ต้องให้จำเลยอยู่ต่อไปจนครบ 12 ปี จำเลยไม่ได้ละเมิดสิทธิโจทก์เพราะตึกแถวยังเป็นของจำเลยอยู่ จึงฟ้องแย้งขอให้ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับตึกแถวเลขที่ 696 ของจำเลย และให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าให้จำเลย

ศาลชั้นต้นสั่งฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งจำเลยได้เถียงกรรมสิทธิ์ตึกแถวพิพาทว่าเป็นของจำเลยอยู่ ให้จำเลยตีราคาตึกแถวและเสียค่าธรรมเนียมศาลภายใน 3 วัน มิฉะนั้นไม่รับฟ้องแย้ง

จำเลยร้องคัดค้านว่าฟ้องแย้งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ขอให้สั่งโจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามราคาตึกแถว 10,000 บาท และรับฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นสั่งว่า หากจำเลยไม่ยอมเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ตีราคามา ก็ไม่รับฟ้องแย้งในข้อกรรมสิทธิ์ คงรับคำให้การฟ้องแย้งในข้อให้โจทก์ต่อสัญญาเช่า ส่วนโจทก์เป็นเรื่องศาลจะได้พิเคราะห์สั่งในวันชี้สองสถานต่อไป

จำเลยอุทธรณ์ ขอให้รับฟ้องแย้งโดยจำเลยไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่ม

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เริ่มต้นด้วยโจทก์ฟ้องตั้งประเด็นว่า ตึกรายพิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่าตึกแถวนั้นเป็นของจำเลยหาใช่เป็นของโจทก์ดังโจทก์กล่าวในฟ้องไม่ และฟ้องแย้งขอให้ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง ดังนี้ ฟ้องเดิมของโจทก์เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ครั้นจำเลยให้การ(และฟ้องแย้ง) เข้ามา ก็ทำให้ฟ้องเดิมของโจทก์กลายเป็น คดีมีทุนทรัพย์ส่วนฟ้องแย้งจะเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่นั้น แม้ฟ้องแย้งจะไม่มีคำขอโดยตรงให้แสดงว่ากรรมสิทธิ์ในตึกแถวเป็นของจำเลย แต่ความในฟ้องแย้งทั้งหมดแสดงอยู่ในตัวว่าพิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ของตึก เพราะคำขอให้ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง มีผลเท่ากับให้ศาลชี้กรรมสิทธิ์ว่าตึกเป็นของจำเลย คดีนี้ถ้าจำเลยไม่ฟ้องแย้ง หากได้ความว่าโจทก์ไม่มีสิทธิ์ในตึกพิพาทแต่อย่างใดศาลก็พิพากษายกฟ้องโจทก์ได้โดยไม่ต้องชี้ว่าตึกพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ แต่การฟ้องแย้งของจำเลยทำให้ศาลต้องชี้ว่าจำเลยมีสิทธิในตึกพิพาทที่จะห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องได้หรือไม่ด้วย ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ฟ้องแย้งในคดีนี้ตั้งประเด็นพิพาทในกรรมสิทธิ์ของทรัพย์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาตึกพิพาทด้วย

พิพากษายืน

Share