คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้หนี้ตามสัญญากู้จะมีมูลหนี้เนื่องมาจากชายาโจทก์นำเงินมาฝากให้จำเลยหาดอกผล จำเลยก็มีหนี้ผูกพันที่จะต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ ฉะนั้น เมื่อจำเลยทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน จำเลยจึงมีความผิดที่จะต้องชดใช้เงินตามสัญญากู้
จำเลยก่อหนี้ขึ้นในระหว่างสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องเซ็นชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ จึงถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นและให้สัตยาบันหนี้สินรายนี้ และเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 (4)

ย่อยาว

คดีนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้งในที่ดินซึ่งมีชื่อภรรยาจำเลยเป็นเจ้าของ ผู้ร้องร้องว่าทรัพย์สินอันดับ ๔, ๕, ๖ เป็นสินเดิมของผู้ร้อง ขอให้สั่งถอนการยึด
โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องลงชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ที่จำเลยกู้เงินโจทก์ เป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปเพื่ออุปการะครอบครัว โดยผู้ร้องรู้เห็นด้วย ถือว่าเป็นหนี้ร่วม
ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้หนี้ตามสัญญากู้จะมีมูลหนี้เนื่องจากชายาโจทก์นำเงินมาฝากให้จำเลยหาดอกผล จำเลยก็มีหนี้ผูกพันที่จะต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ ฉะนั้น เมื่อจำเลยทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน จำเลยจึงมีความรับผิดที่จะต้องชดใช้เงินตามสัญญากู้ ฟังได้ว่าจำเลยก่อหนี้ขึ้นในระหว่างสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องเซ็นชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ จึงถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นและให้สัตยาบันหนี้สินรายนี้ เป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘๒ (๔) จำเลยและผู้ร้องต้องรับผิดใช้หนี้ร่วมกัน โดยให้ใช้จากสินบริคณห์และสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่ายตามมาตรา ๑๔๘๐
พิพากษายืน

Share