คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ชำระภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ไว้ที่อำเภอเป็นจำนวนน้อยผิดสังเกต เจ้าหน้าที่สรรพากรตรวจพบเข้ามีความสงสัย จึงได้สั่งให้หมายเรียกโจทก์มาชี้แจงและนำบัญชีมาให้ตรวจสอบ โจทก์รู้ตัว จึงทำบัญชีขึ้นใหม่และนำภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ที่ยังชำระขาดอยู่ไปชำระต่ออำเภอ ซึ่งถ้าเจ้าพนักงานไม่ออกหมายเรียกดังกล่าว โจทก์ก็คงไม่นำเงินภาษีที่ขาดอยู่ไปชำระให้ เช่นนี้เรียกได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่า โจทก์ยังชำระเงินภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ขาดอยู่ตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา191แล้ว ทางสรรพากรย่อมมีอำนาจสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่มอีก 5 เท่าของภาษีที่ชำระขาดไว้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนใบสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่เลขที่ 1715/2497 และที่ 1717/2497 ที่สั่งให้โจทก์เสียภาษีและเงินเพิ่มภาษีการซื้อโภคภัณฑ์เป็นเงิน 52,559.10 บาท

จำเลยต่อสู้ว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีซื้อโภคภัณฑ์ไม่ถูกต้องตามความจริง เจ้าพนักงานจึงออกหมายเรียกโจทก์มาชี้แจงพร้อมทั้งเรียกหลักฐานบัญชีมาตรวจสอบเพิ่มเติม แต่โจทก์ขอผัดผ่อน แล้วจัดทำบัญชีขึ้นใหม่พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ออกคำสั่งไปยังโจทก์ให้นำเงินภาษีและเงินเพิ่มมาชำระตามใบสั่ง 2 ฉบับที่โจทก์ฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำสั่งทั้ง 2 ฉบับที่โจทก์ฟ้องเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ใบสั่งที่ 1715/2497 เป็นคำสั่งที่ถูกต้องแล้ว ส่วนใบสั่งที่ 1717/2497 เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ พิพากษาแก้ว่าใบสั่งที่ 1717/2497 ของเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่และคำสั่งอธิบดีกรมสรรพากรเฉพาะที่สั่งให้โจทก์นำเงินภาษีการซื้อโภคภัณฑ์จำนวนเงิน 79.65 บาทและเงินเพิ่มอีก 398.25 บาท โดยอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 190 นั้น เป็นการไม่ชอบ นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาคัดค้านว่า ใบสั่งที่ 1715/2497 ที่สั่งให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มอีก 5 เท่านั้น ยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยมิได้ตรวจสอบพบว่าโจทก์เสียภาษีขาด จึงไม่มีอำนาจสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่ม 5 เท่า

ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ชำระภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ไว้ที่อำเภอเป็นจำนวนน้อยผิดสังเกต พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจพบเข้ามีความสงสัย จึงได้สั่งให้หมายเรียกโจทก์มาชี้แจงและนำบัญชีมาให้ตรวจสอบ โจทก์รู้ตัวจึงทำบัญชีขึ้นใหม่และนำเงินภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ที่ยังชำระขาดอยู่อีก 10,850.25 บาท ไปชำระต่ออำเภอเห็นได้ว่าการที่โจทก์นำเงินภาษีที่ยังขาดไปชำระอีกก็เพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบและหมายเรียกตัวโจทก์ให้มาชี้แจงและให้นำบัญชีมาตรวจสอบ ซึ่งถ้าเจ้าพนักงานไม่ออกหมายเรียกดังกล่าวโจทก์ก็คงไม่นำเงินภาษีที่ขาดอยู่ไปชำระให้ ฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่า โจทก์ยังชำระเงินภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ขาดอยู่ตามความในประมวลรัษฎากร มาตรา 191 จำเลยจึงมีอำนาจสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่มอีก 5 เท่าของภาษีที่ชำระขาดไว้ได้

พิพากษายืน

Share