คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10259/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาดูแลที่ดินทุกปีมิได้ทอดทิ้งส่วนผู้ร้องเมื่อเห็นว่าเจ้าของที่ดินมาดูแลที่ดินนานๆครั้งเนื่องจากอยู่ห่างไกลจึงถือโอกาสเข้าไปทำประโยชน์เป็นครั้งคราวที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองรวมทั้งที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นอื่นอีกหลายคนผู้ร้องไม่ได้ร้องขอครอบครองปรปักษ์ทั้งหมดเมื่อเจ้าของที่ดินรายใดแสดงกรรมสิทธิ์ผู้ร้องก็ยอมคืนที่ดินส่วนนั้นให้ไปโดยไม่ได้โต้แย้งแสดงว่าผู้ร้องไม่ได้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยครอบครองปรปักษ์

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 6212ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 1 งานมีชื่อผู้คัดค้านทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ เมื่อปี 2514 ผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายได้เข้าไปครอบครองและทำประโยชน์ โดยปลูกพืชผักผลไม้ในที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ผู้ร้องทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6212 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เป็นชื่อของผู้ร้องทั้งสองโดยถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาต่อเจ้าพนักงานที่ดินหรือผู้เกี่ยวข้องต่อไป
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสองไม่เคยเข้าไปครอบครองและและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของผู้คัดค้านทั้งสองเพราะนับแต่ผู้คัดค้านทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทจากนางระเบียบศรีถาพร เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2514 แล้ว ผู้คัดค้านทั้งสองได้ครอบครองและทำประโยชน์โดยเข้าไปดูแลตรวจสอบที่ดินพิพาทและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ไม่เคยสละละทิ้ง บุคคลทั่วไปในบริเวณนั้นต่างทราบดีว่าผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ผู้คัดค้านทั้งสองนำพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาททั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และปักหลักล้อมรั้วแนวเขตที่ดินพิพาทโดยไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านนอกจากนี้ในขณะที่เจ้าของที่ดินข้างเคียงทำการรังวัดสอบเขตที่ดินผู้คัดค้านทั้งสองก็ไประวังชี้แนวเขตที่ดินพิพาท หากผู้ร้องทั้งสองเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจริง ผู้คัดค้านทั้งสองต้องทราบเรื่องและบังคับให้ผู้ร้องทั้งสองออกไปจากที่ดินพิพาทคำร้องขอของผู้ร้องทั้งสองเป็นเท็จ ขอให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ยกคำร้อง ขอ
ผู้ร้อง ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้อง ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 6212 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 1 งาน มีชื่อผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ค.1ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสองมีว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่ เห็นว่าที่ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่าได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท ปลูกต้นยูคาลิปตัส และขนุนมาเกิน 10 ปี ขนุนให้ผลแล้วผู้ร้องที่ 2 ได้นำไปขายที่ร้านอาหารเย็นใจที่ผู้ร้องที่ 2ช่วยทำอาหารอยู่ แต่ปรากฏตามรายงานการเผชิญสืบของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2537 ว่า ในที่ดินพิพาทมีต้นขนุน 4 ต้นสูงประมาณ 4 เมตร แต่ละต้นอายุไม่เกิน 5 ปี มีมะม่วง 2 ต้นสูงประมาณ 1 เมตร ปลูกมาไม่เกิน 1 ปี ทั้งขนุนและมะม่วงยังไม่สามารถให้ผลได้ จึงขัดกับข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสอง นอกจากนี้ในปี 2528ผู้คัดค้านได้นำเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลชะอำไปสำรวจที่ดินที่ดินพิพาทเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ ปรากฏตามแบบแสดงรายการที่ดินเอกสารหมาย ค.12 ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ว่างเปล่า ไม่มีไม้ล้มลุกหรือไม้ยืนต้น ซึ่งแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อเสียภาษีตามเอกสารหมาย ค.12 เป็นสำเนาเอกสารราชการซึ่งเจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ได้รับรองถูกต้องแล้ว จึงฟังได้ว่าเป็นความจริง ในปี 2535เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองนำพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย ค.5 แล้วล้อมรั้วลวดหนามนั้น ผู้ร้องทั้งสองก็รับว่าได้ทราบเรื่องแล้วแต่ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน และผู้ร้องทั้งสองไม่เคยเสียภาษีบำรุงท้องที่ ส่วนผู้คัดค้านได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ค.3เป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่า ผู้คัดค้านทั้งสองได้มาดูแลที่ดินพิพาททุกปี มิได้ทอดทิ้ง นอกจากนี้ผู้ร้องทั้งสองยังรับอีกว่าที่ดินที่ผู้ร้องทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ทั้ง 5 ไร่ รวมทั้งที่ดินพิพาทนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นอีกหลายคน ผู้ร้องทั้งสองไม่ได้ร้องขอครอบครองปรปักษ์ทั้งหมด เนื่องจากเจ้าของที่ดินบางคนมาอ้างกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องทั้งสองจึงคืนที่ดินส่วนนั้นให้ไปแสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องทั้งสองไม่ได้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ หากแต่เมื่อเห็นว่าเจ้าของที่ดินมาดูแลที่ดินนาน ๆ ครั้ง เนื่องจากอยู่ห่างไกล จึงถือโอกาสเข้าไปทำประโยชน์เป็นครั้งคราว เมื่อเจ้าของที่ดินรายใดแสดงกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องทั้งสองก็ยอมคืนที่ดินให้ไปโดยไม่โต้แย้งทั้งฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาถึง10 ปี แล้ว ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยครอบครองปรปักษ์
พิพากษายืน

Share