แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ถือหนังสือเดินทางที่พนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ฮ่องกงออกให้เป็นคนสัญชาติจีน เมื่อโจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยเพื่อขออยู่ชั่วคราว กองตรวจคนเข้าเมืองก็อนุญาต แต่ก่อนถึงวันครบกำหนด โจทก์ก็ยื่นฟ้องกรมตำรวจกับหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมืองเป็นจำเลย อ้างว่าโจทก์เป็นคนไทยโดยกำเนิด ขอให้จำเลยระงับคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย ทั้งนี้ โดยโจทก์ให้เหตุผลว่ากลัวจะถูกส่งออกนอกประเทศไทย เมื่อครบกำหนดวันที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ ซึ่งแท้จริงแล้วทางจำเลยยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่จะอยู่ในประเทศไทยและโจทก์ไม่มีหลักฐานใด แสดงว่าก่อนยื่นฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เคยร้องต่อจำเลยว่าโจทก์เป็นคนไทย ไม่ได้ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลหรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ โจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยต่อศาลได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคนไทยโดยกำเนิด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ มารดาพาไปยังประเทศจีน ครั้นโตขึ้นอยากกลับประเทศไทย ได้ไปติดต่อกับสถานกงสุลไทย ณ เมืองฮ่องกง ขอเดินทางกลับในฐานะคนไทย แต่ทางกงสุลไทยไม่ยอมรับเรื่องราวโจทก์จึงปลอมแปลงเป็นคนจีนขอหนังสือเดินทางชั่วคราวจากทางราชการเมืองฮ่องกง เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๐๒ ครั้นมาถึงก็ถูกกองตรวจคนเข้าเมืองกำหนดให้อยู่ในประเทศได้ภายในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๐๒ โจทก์เป็นคนไทยโดยกำเนิดมีความประสงค์ที่จะอยู่ในประเทศไทย แต่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์อยู่และได้กำหนดให้โจทก์ออกไปภายในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๐๒ คำสั่งของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาให้จำเลยระงับคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย และให้แสดงว่าโจทก์มีสัญชาติเป็นคนไทย มีสิทธิที่จะอยู่อาศัยในประเทศไทย
จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติจีนและเกิดที่ประเทศจีน ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรไทยและอยู่ได้จนถึงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๐๒ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยต่อศาลเช่นนี้ไม่ชอบ เพราะจำเลยหรือพนักงานเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้สั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย กำหนดที่โจทก์จะออกจากประเทศไทยเกิดจากคำร้องของโจทก์เอง ถือได้ว่าไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์แต่อย่างใด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ฮ่องกงได้ออกหนังสือเดินทางชนิดที่เรียกว่า เซอติฟีเกตออฟไอเด็นติตี้ ระบุว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติจีน เมื่อโจทก์เดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อขออยู่ชั่วคราว กองตรวจคนเข้าเมืองก็อนุญาตให้อยู่ได้ถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๒ ครั้นครบกำหนดโจทก์ร้องขออยู่ต่อกองตรวจคนเข้าเมืองก็อนุญาตให้อยู่ได้อีก ๑๕ วัน จะครบในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๐๒ แต่วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๐๒ โจทก์ก็ฟ้องจำเลยเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้จำเลยออกจากประเทศไทย ทั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่ากลัวจะถูกส่งออกนอกประเทศไทยเมื่อครบกำหนด ซึ่งแท้จริงแล้วจำเลยยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่จะอยู่ในประเทศไทย และโจทก์ก็ไม่มีหลักฐานใดแสดงว่าได้เคยร้องต่อจำเลยว่าโจทก์เป็นคนไทยก่อนยื่นฟ้องคดีนี้ ซึ่งตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๔๓ โจทก์ชอบที่จะยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลหรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่โจทก์ไม่ทำ กลับมายื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นการก้าวล่วงวิธีการ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยต่อศาลได้ พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น