คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10229/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาเช่ามิได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ก็ตามแต่ตามหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร โจทก์ได้จดทะเบียนกำหนดให้ส.เป็นกรรมการลงชื่อผูกพันโจทก์ได้ตามสัญญาเช่าก็มีข้อความไว้ชัดในตอนต้นแห่งสัญญาว่าทำขึ้นระหว่างจำเลยผู้ให้เช่าฝ่ายหนึ่งกับบริษัทค. โดยส. กรรมการผู้เช่าอีกฝ่ายหนึ่งข้อความเช่นนี้แสดงชัดว่าส. ทำสัญญาในนามของโจทก์นั่นเองหาได้ทำเป็นส่วนตัวไม่ทั้งจำเลยก็ได้ยอมรับผลแห่งสัญญาตั้งแต่ต้นตลอดมาจำเลยต้องผูกพันตามสัญญาจะอ้างว่าสัญญาไม่ได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ไม่มีผลผูกพันโจทก์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ จำเลยได้ให้การรับว่าได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องกับโจทก์จริงโจทก์จึงไม่มีภาระต้องพิสูจน์และอ้างส่งสัญญาฉบับดังกล่าวเป็นพยานอีกฉะนั้นแม้สัญญาฉบับดังกล่าวซึ่งโจทก์อ้างจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา118

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2534 โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆจากจำเลยมีกำหนดเวลา 25 ปี นับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2534ในราคา 6,500,000 บาท วางเงินมัดจำและชำระค่าเช่าล่วงหน้างวดที่หนึ่งและที่สองไปแล้วจำนวน 1,950,000 บาท แต่จำเลยผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบหลักฐานยกเลิกการเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอสโซ่ของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 9 สิงหาคม 2534 ตามกำหนด โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมค่าเช่าล่วงหน้าและค่าปรับอีกวันละ 1,000 บาท รวม 182 วัน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและค่าเช่าล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ยก่อนฟ้องและค่าปรับจำนวน 2,243,452.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,950,000 บาท และเงินค่าปรับอีกวันละ 1,000 บาท ทั้งสองจำนวน นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้องมิได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำสัญญาเช่าดังกล่าวมาเป็นหลักฐานฟ้องจำเลย โจทก์และจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงจริง แต่เป็นอีกฉบับหนึ่งซึ่งโจทก์ผิดสัญญาและขอให้จำเลยแก้ไขข้อสัญญาใหม่โจทก์และจำเลยจึงทำสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้องขึ้น โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ไปจดทะเบียนการเช่าตามกำหนดนัดทั้งที่จำเลยจัดส่งหลักฐานยกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอสโซ่ให้โจทก์ และเจรจากับโจทก์หลายครั้งแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมทำสัญญาจำเลยจึงบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินจำนวน1,950,000 บาท จากจำเลย การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย กล่าวคือเมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญาแก่บริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด จำเลยต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทดังกล่าวจำนวน 880,500 บาท กับสูญเสียรายได้จากการประกอบกิจการเดือนละ 50,000 บาท คิดเพียง 7 เดือนรวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,230,500 บาท ขอให้ยกฟ้องและริบเงินจำนวน 1,950,000 บาท และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายรวมดอกเบี้ยก่อนฟ้องจำนวน 1,276,516 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 1,230,500 บาท กับให้ใช้ค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ100,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชดใช้เงินจำนวน 880,500 บาท ที่จำเลยต้องจ่ายแก่บริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด และไม่ต้องชดใช้เงินค่าขาดประโยชน์เดือนละ50,000 บาท เพราะโจทก์ไม่เคยทราบมาก่อน และจำเลยเลิกสัญญากับบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด ด้วยความสมัครใจของจำเลยเอง ทั้งเมื่อโจทก์เลิกสัญญาเช่าแล้ว จำเลยก็มีสิทธิไปเป็นคู่สัญญาเช่ากับบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัดได้อีกจำเลยจึงไม่เสียหาย แต่หากมีก็เป็นค่าเสียหายที่จำเลยรวมไว้ในราคาค่าโอนสิทธิการเช่าแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,061,452.04 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน1,950,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้ชำระค่าปรับจำนวน 28,000 บาท คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2534 จำเลยได้ทำสัญญาให้โจทก์โดยนายสมศักดิ์ ธีรชัยชยุติ กรรมการ เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 10676 ตำบล เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 32 ตารางวาพร้อมสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆบนที่ดินดังกล่าวรวมตลอดถึงเครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆมีกำหนด 25 ปี นับตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2534 ค่าเช่าตลอดระยะเวลาเช่าเป็นเงินทั้งสิ้น 6,500,000 บาท ตกลงชำระค่าเช่าเป็น 3 งวด งวดที่หนึ่งชำระในวันที่ทำสัญญาจำนวน 100,000 บาทงวดที่สองชำระในวันที่ 7 มิถุนายน 2534 จำนวน 1,850,000 บาทและงวดที่สามชำระในวันจดทะเบียนการเช่าวันที่ 9 สิงหาคม 2534จำนวน 4,550,000 บาท โดยจำเลยสัญญาว่าจะส่งมอบหลักฐานยกเลิกการเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอสโซ่ของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด สำหรับสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงบนที่ดินที่เช่าแก่โจทก์ก่อนกำหนดเวลาจดทะเบียนการเช่า ปรากฏตามสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.6 จำเลยได้รับเงินค่าเช่างวดที่หนึ่งและงวดที่สองไปจากโจทก์แล้ว ต่อมาโจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยและให้จำเลยคืนค่าเช่าล่วงหน้าที่รับไปแล้วทั้งสองงวดแก่โจทก์ ซึ่งจำเลยได้รับแจ้งแล้วเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2535ตามหนังสือบอกเลิกและให้คืนเงินมัดจำและค่าเช่าล่วงหน้าและใบตอบรับในประเทศเอกสารหมาย จ.15 และ จ.16 คดีมีปัญหาตามฎีกาข้อแรกของจำเลยในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ โดยจำเลยฎีกาว่าสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.6 ไม่ได้ประทับตราสำคัญของโจทก์จึงไม่มีผลผูกพันโจทก์และตามพฤติการณ์แห่งคดียังถือไม่ได้ว่า โจทก์ได้ให้สัตยาบันสัญญาเช่าดังกล่าวแล้วเห็นว่าแม้สัญญาเช่าดังกล่าวมิได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ก็ตามแต่ตามหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เอกสารหมาย จ.1 โจทก์ได้จดทะเบียนกำหนดให้นายสมศักดิ์ ธีระชัยชยุติ เป็นกรรมการลงชื่อผูกพันโจทก์ได้ตามสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.6 ฉบับที่โจทก์อ้างฟ้องก็มีข้อความกล่าวไว้ชัดในตอนต้นแห่งสัญญาว่าทำขึ้นระหว่างจำเลยผู้ให้เช่าฝ่ายหนึ่ง กับบริษัทคูเวตปิโตรเลี่ยมดีเวลลอปเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (โจทก์) โดยนายสมศักดิ์ ธีระชัยชยุติ กรรมการ ผู้เช่าอีกฝ่ายหนึ่งข้อความเช่นนี้แสดงชัดว่านายสมศักดิ์ทำสัญญาในนามของโจทก์นั่นเองหาได้ทำเป็นส่วนตัวไม่ ทั้งจำเลยก็ได้ยอมรับผลแห่งสัญญาตั้งแต่ต้นตลอดมา จำเลยต้องผูกพันตามสัญญา จะอ้างว่าสัญญาไม่ได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ ไม่มีผลผูกพันโจทก์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ เมื่อได้วินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันสัญญาเช่าแล้วหรือไม่ จึงไม่ต้องวินิจฉัย
จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ในข้อนี้โจทก์ตั้งประเด็นมาตามคำฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบหลักฐานยกเลิกการเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอสโซ่ของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด ตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญาแก่โจทก์ พิเคราะห์แล้ว ตามสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 4 มีข้อความว่าจำเลยสัญญาว่าจะส่งมอบหลักฐานยกเลิกการเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอสโซ่ของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด สำหรับสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงบนที่ดินที่เช่าแก่โจทก์ก่อนกำหนดเวลาจดทะเบียนนิติกรรมการเช่าตามสัญญาข้อ 3 คือก่อนวันที่ 9 สิงหาคม 2534ข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความของนายพงษ์ศักดิ์ คุณากรปรมัตถ์ผู้จัดการขายภาคกลาง ฝ่ายขายปลีกของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด พยานโจทก์ และคำเบิกความของจำเลยประกอบเอกสารว่าจำเลยได้มีหนังสือแจ้งยกเลิกการเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอสโซ่ไปยังบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2534 ตามหนังสือแจ้งการยกเลิกการเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอสโซ่ เอกสารหมาย จ.12 หรือ ล.12การที่จำเลยส่งหนังสือแจ้งการยกเลิกการเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอสโซ่ดังกล่าวแก่โจทก์ตามหนังสือแจ้งยืนยันการจดทะเบียนนิติกรรมและทำสัญญาดำเนินกิจการปั๋มน้ำมัน Q8 ลงวันที่ 2 กันยายน2534 เป็นการส่งมอบหลักฐานยกเลิกการเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอสโซ่ของบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด แก่โจทก์เมื่อล่วงพ้นเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 4 ได้ชื่อว่าจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์แล้วทั้งนี้ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเป็นถึงขนาดต้องได้รับหนังสือยินยอมให้เลิกการเป็นผู้แทนจากบริษัทเอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัดหรือไม่
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า สัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.6 ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 และจำเลยมีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้ว จำเลยได้ให้การรับว่าได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.6ตามฟ้องกับโจทก์จริง โจทก์ก็ไม่เป็นภาระต้องพิสูจน์และอ้างส่งสัญญาฉบับดังกล่าวเป็นพยานอีก ฉะนั้นแม้สัญญาฉบับดังกล่าวซึ่งโจทก์อ้างจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ปัญหาอื่นนอกจากนี้ไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share