แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การนำสืบการชำระหนี้โดยนำเงินฝากเข้าบัญชีให้โจทก์ และการที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเป็นผู้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของโจทก์แทนโจทก์ เป็นการนำสืบการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคหนึ่ง กรณีมิใช่การนำสืบการใช้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดง ซึ่งต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง จำเลยทั้งสองชอบที่จะนำสืบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 422,575.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 320,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 422,575.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 320,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 31 สิงหาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้นำสืบโต้แย้งกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ก่อนจะมีการทำสัญญากู้ยืมเงินฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์หลายครั้ง จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องกับโจทก์เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 ระบุว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 320,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระเงินคืนภายในวันที่ 30 กันยายน 2543 โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์
…มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เพียงใด โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 นำเงินฝากเข้าบัญชีให้โจทก์เป็นการชำระหนี้โจทก์ และจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้ชมรมชาวสรรพากรจังหวัดสุราษฎร์ธานีแทนโจทก์ รวมเป็นเงินที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์แล้วทั้งสิ้นประมาณ 200,000 บาท เห็นว่า การนำสืบการชำระหนี้โดยการนำเงินฝากเข้าบัญชีให้โจทก์ และการที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเป็นผู้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของโจทก์แทนโจทก์ เป็นการนำสืบการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง กรณีมิใช่การนำสืบการใช้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดง ซึ่งต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จำเลยทั้งสองจึงชอบที่จะนำสืบได้…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 320,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2542 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้หักเงินที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระให้โจทก์หลังจากทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง และที่จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนโจทก์ และชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระคำนวณถึงวันชำระแต่ละครั้ง มีเงินเหลือเท่าใดให้ชำระต้นเงินแล้วคำนวณดอกเบี้ยของต้นเงินที่ค้างชำระไปจนถึงวันที่ชำระหนี้ครั้งถัดไปตามนัยที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ