แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์ชำระราคารถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน ให้แก่ ส. ตัวแทนของจำเลยแล้ว จำเลยในฐานะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอัน ส. ตัวแทนได้ทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ชำระราคารถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวการแล้วตามกฎหมาย แม้ ส. จะยังไม่ได้ส่งมอบเงินค่ารถจักรยานยนต์ให้แก่จำเลยก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยซึ่งเป็นตัวการจะไปว่ากล่าวไล่เบี้ยเอาจาก ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของตนโจทก์จึงไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีหน้าที่ต้องจัดส่งเอกสารให้แก่โจทก์ เพื่อโจทก์จะได้นำไปใช้ประกอบในการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ผิดสัญญา ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้สั่งซื้อรถจักรยานยนต์ จำนวน 52 คัน จากจำเลย เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าของโจทก์ ผ่านนายสมศักดิ์ จินาพงษ์ ตัวแทนของจำเลยซึ่งจำเลยและนายสมศักดิ์ได้ร่วมกันส่งมอบรถจักรยานยนต์ที่โจทก์สั่งซื้อทั้งหมดให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วและโจทก์ได้ส่งมอบเงินค่ารถจักรยานยนต์ทั้งหมดไปชำระให้แก่จำเลยโดยจัดส่งชำระให้แก่นายสมศักดิ์ตัวแทนของจำเลย จำเลยได้รับเงินค่ารถจักรยานยนต์จากโจทก์แล้ว จำเลยในฐานะผู้ขายจะต้องส่งมอบรถจักรยานยนต์พร้อมเอกสารสำคัญประจำรถจักรยานยนต์ให้แก่โจทก์ และดำเนินการตามที่จำเป็นเพื่อจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ทุกคันที่โจทก์ได้สั่งซื้อให้เรียบร้อยตามแบบพิธีการของกฎหมายในการควบคุมการใช้รถ เพื่อให้โจทก์สามารถครอบครองและใช้ประโยชน์รถจักรยานยนต์ได้ตามกฎหมาย มีรายการเอกสารสำคัญที่จำเลยจะต้องส่งมอบให้แก่โจทก์เพื่อใช้ประกอบในการจดทะเบียน คือ เอกสารเรื่องแจ้งการจำหน่ายรถจักรยานยนต์พร้อมใบกำกับภาษีสำหรับรายการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ อยู่ในความครอบครองของจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมดำเนินการส่งมอบเอกสารให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย คิดค่าเสียหายเป็นเงินรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 156,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยดำเนินการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์แก่โจทก์ และส่งมอบเอกสารสำคัญประกอบในการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 156,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์สั่งซื้อรถจักรยานยนต์จากจำเลย จำนวน52 คัน ราคารวมเป็นเงิน 1,827,922 บาท จำเลยได้รับใบสั่งซื้อรถจักรยานยนต์จากนายสมศักดิ์ จินาพงษ์ ซึ่งในทางการค้าแล้วนายสมศักดิ์จะได้ส่วนแบ่งการซื้อขายจากโจทก์และจำเลย และนายสมศักดิ์ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลย เมื่อจำเลยได้รับใบสั่งซื้อจากนายสมศักดิ์ว่าโจทก์มีความประสงค์ที่จะซื้อรถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน จำเลยก็ได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่โจทก์พร้อมใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน โจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระราคารถจักรยานยนต์ที่สั่งซื้อในการชำระราคารถจักรยานยนต์มีข้อตกลงว่าโจทก์จะส่งเงินมาให้ตามที่อยู่ของจำเลย เมื่อชำระเงินแต่ละงวดครบถ้วน จำเลยก็จะส่งมอบเอกสารเพื่อนำใบคู่มือไปโอนทางทะเบียนต่อไป แต่โจทก์ไม่ชำระราคารถจักรยานยนต์ให้แก่จำเลย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่จะต้องโอนทางทะเบียนให้แก่โจทก์ตามฟ้อง จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา การที่โจทก์ชำระราคารถจักรยานยนต์ให้แก่นายสมศักดิ์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากนายสมศักดิ์ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลย และราคารถจักรยานยนต์ที่ชำระให้แก่นายสมศักดิ์นั้นก็สูงกว่าราคารถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน ที่โจทก์ได้ซื้อจากจำเลย จำเลยบอกกล่าวทวงถามแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉยโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เนื่องจากยังไม่ได้รับเงินค่ารถจักรยานยนต์จากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระเงิน 1,827,922 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระแก่จำเลยเสร็จสิ้น
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ได้ติดต่อสั่งซื้อรถจักรยานยนต์จากนายสมศักดิ์จินาพงษ์ ตัวแทนของจำเลยโดยสุจริต และได้ชำระราคารถจักรยานยนต์จำนวน 52 คันให้แก่จำเลยแล้ว โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงไม่ต้องชำระเงินจำนวน 1,827,922บาท ให้แก่จำเลยตามฟ้องแย้ง นายสมศักดิ์ไม่ได้เป็นตัวแทนของโจทก์หรือมีส่วนได้รับส่วนแบ่งจากโจทก์ในการซื้อขายรถจักรยานยนต์ จำเลยในฐานะตัวการจะต้องไปว่ากล่าวเรียกร้องเอาจากนายสมศักดิ์ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ จำนวน52 คัน ให้แก่โจทก์ หรือจัดการให้โจทก์ได้จดทะเบียนรถจักรยานยนต์ทั้งหมดให้เรียบร้อยและให้จำเลยส่งมอบเอกสารสำคัญที่ใช้ประกอบในการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ทั้งหมดแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 52,000 บาท แก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์จากจำเลยจำนวน 52 คัน เป็นเงิน 1,827,922 บาทโดยจำเลยส่งมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์จากจำเลยตามฟ้องโดยมีนายสมศักดิ์จินาพงษ์ เป็นตัวแทนของจำเลยหรือไม่ สำหรับปัญหาดังกล่าวโจทก์มีนายชัยวัฒน์เตียวเจริญชัย ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า โจทก์สั่งซื้อรถจักรยานยนต์จำนวน52 คัน ตามฟ้องจากจำเลยโดยสั่งซื้อผ่านนายสมศักดิ์ตัวแทนของจำเลย ในการชำระราคารถจักรยานยนต์ดังกล่าว โจทก์ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนายสมศักดิ์ ตามใบนำฝากเงินบัญชีออมทรัพย์เอกสารหมาย จ.17 และ จ.18 และได้รับใบเสร็จรับเงินจากจำเลยแล้ว ตามใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.19 ถึง จ.70 นอกจากพยานโจทก์ดังกล่าวโจทก์ยังมีพันตำรวจโทวรพัฒน์ พูนผล พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอุตรดิตถ์มาเบิกความสนับสนุนว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2537 นางฟองจันทร์ไกรสรไขศรี หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยไปร้องทุกข์ต่อพยานว่า นายสมศักดิ์ยักยอกหรือฉ้อโกงรถจักรยานยนต์ของจำเลยไป 125 คัน รวมเป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาท พยานได้ทำการสอบสวนเบื้องต้นได้ความว่า นายสมศักดิ์เป็นคนกลางหรือเป็นตัวแทนของจำเลยในการซื้อขายรถจักรยานยนต์ โดยผู้ที่จะสั่งซื้อรถจักรยานยนต์จากจำเลยจะสั่งซื้อผ่านนายสมศักดิ์แล้วนายสมศักดิ์จะแจ้งให้จำเลยออกใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีให้ผู้ซื้อ หากไม่มีการชำระเงินค่ารถจักรยานยนต์ จำเลยจะทวงถามจากนายสมศักดิ์เท่านั้น ซึ่งนางฟองจันทร์หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านยอมรับว่าได้ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่นายสมศักดิ์ว่ายักยอกรถจักรยานยนต์ของจำเลยไปจริงตามสำเนาคำร้องทุกข์ และสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.71 และ จ.72 เมื่อพิเคราะห์ข้อความในเอกสารดังกล่าวได้ความว่า นางฟองจันทร์ไปร้องทุกข์ต่อพันตำรวจโทวรพัฒน์ พนักงานสอบสวนว่า นายสมศักดิ์ได้รับรถจักรยานยนต์ของจำเลยไปจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2537 เป็นต้นมารวม 125 คัน แล้วไม่นำเงินค่ารถจักรยานยนต์ดังกล่าวมาชำระให้แก่จำเลย นายสมศักดิ์มีเจตนาทุจริตยักยอกหรือฉ้อโกงจำเลย ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของพันตำรวจโทวรพัฒน์ ทำให้เห็นได้ว่าหากนายสมศักดิ์ไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยในการซื้อขายรถจักรยานยนต์แล้วนางฟองจันทร์หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยคงไม่ต้องไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่นายสมศักดิ์ นอกจากนั้นยังได้ความจากนางโสภา สุขใส พยานจำเลยเบิกความรับว่า พยานเป็นผู้เขียนชื่อโจทก์ว่าเป็นผู้ซื้อใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีเอกสารหมาย จ.19 ถึง จ.70 ตามที่นายสมศักดิ์บอกให้เขียนเจือสมกับพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงมีน้ำหนักรับฟังน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านายสมศักดิ์ จินาพงษ์ เป็นตัวแทนของจำเลยในการซื้อขายรถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน ตามฟ้องให้แก่โจทก์ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการสุดท้ายว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่วินิจฉัยดังกล่าวมาแล้วข้างต้นว่านายสมศักดิ์เป็นตัวแทนของจำเลยในการซื้อขายรถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน ตามฟ้องให้แก่โจทก์ และจำเลยก็ยอมรับว่าโจทก์ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนายสมศักดิ์แล้วตามใบนำฝากเงินบัญชีออมทรัพย์เอกสารหมาย จ.17 จ.18 และได้รับใบเสร็จรับเงินจากจำเลยแล้ว ตามใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.19 ถึง จ.70 จึงรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ชำระราคารถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน ให้แก่นายสมศักดิ์ตัวแทนของจำเลยแล้ว จำเลยในฐานะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันนายสมศักดิ์ตัวแทนได้ทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 820 จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ชำระราคารถจักรยานยนต์จำนวน 52 คัน ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวการแล้วตามกฎหมาย แม้นายสมศักดิ์จะยังไม่ได้ส่งมอบเงินค่ารถจักรยานยนต์ให้แก่จำเลย ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยซึ่งเป็นตัวการจะไปว่ากล่าวไล่เบี้ยเอาจากนายสมศักดิ์ซึ่งเป็นตัวแทนของตน โจทก์จึงไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามฟ้องแย้งของจำเลยแต่อย่างใด จำเลยจึงมีหน้าที่จัดส่งเอกสารให้แก่โจทก์เพื่อโจทก์จะได้นำไปใช้ประกอบในการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ตามฟ้อง เมื่อจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ผิดสัญญา ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน