คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีอาญา โดยกล่าวในฟ้องว่า จำเลยถูกจำคุกอยู่ในคดีอื่นของศาลนั้น แต่ได้หลบหนีไปจากเรือนจำเสียแล้วก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อโจทก์ไม่มีตัวจำเลยอยู่ในขณะที่ยื่นฟ้อง และจำเลยมิได้ถูกศาลสั่งขังไว้ในคดีนี้ ทั้งข้อเท็จจริงก็ต่างกับคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1735/2514 ศาลย่อมไม่รับประทับฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันลักทรัพย์สิ่งของตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง ขอให้ศาลเบิกตัวจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งถูกจำคุกตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๙๑๙/๒๕๑๗ ของศาลจังหวัดสุรินทร์มาพิจารณา แต่นายนิดหรือสำเริง หรือยังสีหนาดจำเลยที่ ๒ ได้หลบหนีไปจากเรือนจำจังหวัดสุรินทร์ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีตัวขณะยื่นฟ้อง เพราะจำเลยที่ ๒ หลบหนีในขณะถูกจำคุกในคดีอื่น จึงไม่รับประทับฟ้องคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว
โจทก์ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ ๒ จะหลบหนีไป แต่ก็ยังอยู่ในอำนาจของศาลที่จะออกหมายจับจำเลยมาได้ ถือได้ว่ายังมีตัวจำเลยอยู่นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าฎีกาของโจทก์ยอมรับอยู่แล้วว่า จำเลยที่ ๒ หลบหนี โจทก์จึงไม่มีตัวจำเลยอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ และจำเลยที่ ๒ มิได้ถูกศาลสั่งขังไว้ในคดีนี้ด้วย คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๓๕/๒๕๑๔ ที่โจทก์อ้างมาในฎีกานั้น ข้อเท็จจริงต่างกับข้อเท็จจริงคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองไม่รับประทับฟ้องจำเลยที่ ๒ ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share