คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2507 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ไป 3,000 บาท อัตราชั่งละ 1 บาทต่อเดือน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองทำหนังสือสัญญาให้โจทก์ไว้ตามสำเนาท้ายฟ้องจำเลยผิดนัดค้างส่งดอกเบี้ยตลอดมา โจทก์ทวงถามก็ไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินต้นและดอกเบี้ย 4,440 บาทพร้อมกับดอกเบี้ยชั่งละ 1 บาทต่อเดือนคิดจากเงินต้น 3,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ใช้แทน และยังปรากฏตามสัญญาข้อ 4 และข้อ 6 ด้วยว่า ‘ข้าพเจ้ายอมให้ดอกเบี้ยชั่งละบาทต่อเดือนแก่ท่านทุกเดือนไปจนกว่าจะนำเงินต้นส่งให้แก่ท่านจนครบจำนวน แม้ข้าพเจ้าประพฤติผิดสัญญานี้แต่ข้อหนึ่งข้อใดก็ดี ข้าพเจ้ายอมให้ท่านฟ้องเรียกเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ข้าพเจ้าตามกฎหมาย’ ดังนี้ ฟังได้ว่าฟ้องโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยผิดนัดตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้างเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2507 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ไป 3,000 บาท อัตราดอกเบี้ยชั่งละ 1 บาทต่อเดือน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือสัญญาให้โจทก์ไว้ดังสำเนาท้ายฟ้อง จำเลยผิดนัดค้างส่งดอกเบี้ยตลอดมา โจทก์ทวงถามก็ไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องให้ชัดแจ้ง เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยต่อสู้คดี โดยมิได้กล่าวว่าหนังสือสัญญาที่โจทก์ยึดถือมีสารสำคัญประการใดที่พอถือได้ว่าจำเลยผิดนัด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ แต่กู้เงินนางบุญล้อม 300 บาท และทำหนังสือไว้ 2 ฉบับ ๆ หนึ่ง 300 บาท อีกฉบับหนึ่ง 3,000 บาท ฉบับหลังเพื่อขู่ขวัญมิให้จำเลยบิดพลิ้วเท่านั้น จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ หากสัญญาที่จำเลยเคยทำเป็นนิติกรรมอำพราง ไว้กับนางบุญล้อมโจทก์ก็ต้องเพิ่มเติมข้อความอื่น ๆ แล้วลงลายมือชื่อโจทก์เป็นผู้ให้กู้ โดยจำเลยไม่รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญาเป็นโมฆะ โจทก์ไม่เคยทวงถามจำเลย

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 จะมีหนี้สินกับโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบ จำเลยไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้โดยไม่ตั้งใจให้มีผลผูกพันกันตามที่จำเลยนำสืบ เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมคบกับคู่กรณี เป็นโมฆะ ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมเชื่อว่าจำเลยที่ 1กู้เงินโจทก์ไป 3,000 บาท จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเงินที่จำเลยที่ 1 กู้ไปจริง โจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 แล้ว ส่วนดอกเบี้ยนั้นโจทก์นำสืบว่าคิดร้อยละ 10 ต่อเดือน เฉพาะดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 3,000 บาท แก่โจทก์ หากไม่ใช้ให้จำเลยที่ 2 ใช้แทน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาพิพากษาว่า ที่จำเลยเถียงว่า เพราะโจทก์มิได้กล่าวว่าหนังสือสัญญากู้ที่โจทก์ยึดถือนั้นมีสารสำคัญประการใดพอที่จะถือว่าจำเลยผิดนัด นั้น พิเคราะห์แล้ว หนังสือสัญญากู้ที่โจทก์อ้างและคัดสำเนาแนบมาด้วย ข้อ 4 มีข้อความว่า “ข้าพเจ้ายอมให้ดอกเบี้ยชั่งละบาทต่อเดือนแก่ท่านทุกเดือนจนกว่าข้าพเจ้าจะนำเงินต้นส่งให้แก่ท่านจนครบตามจำนวน” และข้อ 6 ว่า “แม้ข้าพเจ้าประพฤติผิดสัญญานี้แต่ข้อหนึ่งข้อใดก็ดี ข้าพเจ้ายอมให้ท่านฟ้องร้องเรียกเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ข้าพเจ้าตามกฎหมาย” ฟังได้ว่า โจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยผิดนัดตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้างเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 3,000 บาท รับเงินไปครบถ้วนแล้ว และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้จริง

พิพากษายืน

Share