แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยรับฝากสินค้าโดยมิได้มีบำเหน็จ จำเลยเป็นผู้จัดให้ คนงานและรถยกสินค้าเครื่องจักรออกจากตู้บรรจุสินค้า แต่เนื่องจากสินค้าเครื่องจักรมีขนาดใหญ่และรถยกมีขนาดเล็กเป็นเหตุให้สินค้าเครื่องจักรตกลงจากรถยกและเกิดความเสียหายการกระทำดังกล่าวนับเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลย เมื่อโจทก์ร่วมได้รับประกันภัยสินค้าเครื่องจักรรายนี้ และได้ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์แล้ว ย่อมรับช่วงสิทธิจากโจทก์ที่จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ โจทก์ร่วมยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความโดยอ้างว่าเป็นผู้รับประกันภัยสินค้าโจทก์ร่วมจึงมีสิทธิเข้ารับช่วงสิทธิของโจทก์สำหรับค่าเสียหายที่ได้ชดใช้แก่โจทก์ไปแล้วและมีความประสงค์จะเข้าเป็นโจทก์ร่วมเพื่อเรียกค่าเสียหายคืนจากจำเลย ตามคำร้องของโจทก์ร่วมถือได้ว่าโจทก์ร่วมมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วมแล้ว ประเด็นที่ว่าโจทก์ร่วมรับช่วงสิทธิของโจทก์หรือไม่เพียงใด จึงเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แม้เป็นเรื่องฝากทรัพย์ แต่จำเลยได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้สินค้าเครื่องจักรเสียหาย ถือเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย จึงมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ลูกจ้างหรือผู้ที่จำเลยใช้จ้าง วานให้ดำเนินการนำสินค้าออกจากตู้บรรจุสินค้า โดยใช้เชือกผูกติดกับตัวเครื่องจักร อีกด้านหนึ่งผูกติดกับรถบรรทุกเพื่อใช้ลากสินค้าและนำรถยกสินค้าที่งารถยาวเพียง1 เมตร แต่สินค้ามีขนาดกว้าง 1.40 เมตร ยาว 2.90 เมตรไม่สามารถรับสินค้าได้ การกระทำดังกล่าวเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้เครื่องจักรพิพาทตกจากตู้บรรจุสินค้ากระแทกพื้นโกดังในขณะที่กำลังจะนำออกจากตู้บรรจุสินค้า โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 1,604,935.90 บาท และโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย 120,370.19 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,725,306 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,604,936.90 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ให้คนงานและรถยกไปช่วยขนเครื่องจักรพิพาทลงจากรถตู้บรรจุสินค้าโดยไม่คิดค่าเช่าและค่าบริการและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหาย กรณีไม่ใช่ละเมิด สัญญาฝากทรัพย์ระหว่างผู้รับมอบอำนาจโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดแล้วตั้งแต่วันที่31 ธันวาคม 2533 โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา บริษัทการ์เดียนประกันภัย(ประเทศไทย)จำกัด ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม โดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นผู้รับประกันภัยสินค้าเครื่องจักรพิพาทจากโจทก์มีทุนประกัน7,811,050 บาท ผู้ร้องได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน448,943 บาท จึงรับช่วงสิทธิจากโจทก์ ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 448,943 บาท คืนจากจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 285,066.48 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้สั่งซื้อสินค้าเครื่องจักรสำหรับอัดแผ่นพลาสติกสูญญากาศจากประเทศเยอรมันเข้ามาในประเทศไทย โดยมอบหมายให้บริษัททรานส์-ลิงค์ เอ็กซ์เปรส (กรุงเทพ) จำกัด ดำเนินการทางพิธีการศุลกากรในประเทศไทย และขนส่งสินค้าดังกล่าวให้โจทก์ในวันที่ 2 สิงหาคม 2533 บริษัทดังกล่าวได้นำสินค้าไปเก็บไว้ที่โกดังเก็บสินค้าของจำเลย ในระหว่างขนถ่ายสินค้าเครื่องจักรออกจากตู้บรรจุสินค้า เครื่องจักรได้ตกลงจากรถยกบนพื้นได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมได้รับประกันภัยความเสียหายสินค้ารายนี้ ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 7กุมภาพันธ์ 2535 เป็นเงิน 448,943 บาท
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ร่วมประการแรกมีว่าจำเลยประมาทเลินเล่อหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในความประมาทเลินเล่อที่ทำให้สินค้าเครื่องจักรของโจทก์เสียหาย จำเลยให้การรับว่าโจทก์ได้นำสินค้าเครื่องจักรมาฝากไว้ในโกดังเก็บสินค้าของจำเลย และขอให้จำเลยช่วยจัดคนงานและรถยกเพื่อขนถ่ายสินค้าเครื่องจักร จำเลยมีรถยกตัวเดียวงายาว 1 เมตร แต่สินค้าเครื่องจักรมีความยาว 2.90 เมตรกว้าง 1.40 เมตร งารถยกไม่อาจรับความกว้างยาวของสินค้าเครื่องจักรได้จึงตกลงบนพื้น จำเลยรับฝากสินค้าโจทก์มิได้มีบำเหน็จและได้ใช้ความระมัดระวังเช่นผู้ประกอบวิชาชีพ ตามคำให้การดังกล่าวเท่ากับจำเลยรับตามฟ้องโจทก์ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้คนงานและรถยกยกสินค้าเครื่องจักรออกจากตู้บรรจุสินค้า แต่เนื่องจากสินค้าเครื่องจักรมีขนาดใหญ่และรถยกมีขนาดเล็ก เป็นเหตุให้สินค้าเครื่องจักรตกจากรถยกลงบนพื้นและเกิดความเสียหาย การกระทำดังกล่าวนับเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลย ไม่ว่าการกระทำนั้นจำเลยจะได้รับค่าจ้างหรือไม่ ข้อที่จำเลยอ้างว่าจำเลยรับฝากทรัพย์โดยไม่ได้บำเหน็จค่าฝากนั้น เมื่อจำเลยขนสินค้าเครื่องจักรออกจากตู้บรรจุสินค้าและทำให้สินค้าเครื่องจักรของโจทก์ได้รับความเสียหาย ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดเมื่อโจทก์ร่วมได้รับประกันภัยสินค้าเครื่องจักรรายนี้ และได้ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ไปแล้ว ย่อมรับช่วงสิทธิจากโจทก์ที่จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า คำร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมไม่มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ร่วม ประเด็นที่ว่าโจทก์ร่วมรับช่วงสิทธิของโจทก์หรือไม่ เพียงใด จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์ร่วมยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความโดยอ้างว่าเป็นผู้รับประกันภัยสินค้าพิพาท และได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน448,943 บาท โจทก์ร่วมจึงมีสิทธิเข้ารับช่วงสิทธิของโจทก์สำหรับค่าเสียหายที่ได้ชดใช้แก่โจทก์ไป และมีความประสงค์จะเข้าเป็นโจทก์ร่วมเพื่อเรียกค่าเสียหายจำนวน 448,943 บาทคืนจากจำเลย โดยขอถือเอาคำฟ้องและบัญชีพยานของโจทก์เป็นของโจทก์ร่วมด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ดังนี้เห็นว่าตามคำร้องของโจทก์ร่วมดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 448,943 บาท แก่โจทก์ร่วมแล้ว ประเด็นที่ว่าโจทก์ร่วมรับช่วงสิทธิของโจทก์หรือไม่เพียงใด จึงเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น คำแก้ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปเกี่ยวกับอายุความและค่าเสียหายซึ่งศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวน ในเรื่องอายุความ จำเลยอ้างว่าได้รับฝากทรัพย์จากโจทก์เป็นกรณีผิดสัญญาฝากทรัพย์ โจทก์จะเรียกร้องให้ใช้ค่าเสียหายได้ภายใน 6 เดือน เมื่อโจทก์ฟ้องเกิน 6 เดือน คดีขาดอายุความนั้น เห็นว่า หากจะเป็นเรื่องฝากทรัพย์อย่างจำเลยอ้างจริง แต่โจทก์ได้ให้จำเลยทำการขนย้ายสินค้าเครื่องจักรออกจากตู้บรรจุสินค้า ในการขนย้ายจำเลยได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้สินค้าเครื่องจักรเสียหายเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและเสียหายต่อโจทก์ เป็นการกระทำละเมิดด้วยจึงมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคหนึ่ง โจทก์ฟ้องภายใน 1 ปี คดีไม่ขาดอายุความ
ส่วนค่าเสียหายนั้น ตามพฤติการณ์ในคดีนี้โจทก์ควรจะได้รับค่าเสียหายเพียงครึ่งเดียวเป็นเงิน 224,471.50 บาท โจทก์ร่วมจึงรับช่วงสิทธิที่จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้เพียง224,471.50 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ร่วมฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ร่วมจำนวน224,471.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์