แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยรับราชการเป็นพลตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่รับเงินและปกครองดูแลรักษาเงินค่าเปรียบเทียบปรับอันเป็นเงินของทางราชการตำรวจที่ได้รับไว้ เมื่อนำส่งให้ไม่ครบจำนวนที่รับไว้ก็ย่อมได้ชื่อว่ากระทำการทุจริตในหน้าที่ยักยอกเงินรายนี้เป็นอาณาประโยชน์ของตนเสียเอง
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับราชการเป็นพลตำรวจได้รับแต่งตั้งเป็นเสมียนเบ็ดเสร็จประจำวันได้รับมอบเงินค่าปรับ 140 บาท ตามคำสั่งนายร้อยเวรรักษาการในตำแหน่งผู้บังคับกองตำรวจภูธรจังหวัดยะลา จำเลยนำส่งสมุหบัญชี 60 บาท และบังอาจทุจริตเบียดบังเอาเงินนั้นไว้เสียเอง 80 บาท ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดฐานยักยอกเงินของราชการดังฟ้องทั้งฟ้องมิได้บรรยายว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 131 จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับจำเลยมีผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 131 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญาพ.ศ. 2484 มาตรา 3 และพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดฉบับนั้นให้จำคุก 1 ปี กับให้ใช้เงิน 80 บาท
จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 131 กิจการที่ทำไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่รับเงินและปกครองดูแลรักษาเงินจำนวนนี้อยู่ ที่ต้องชำระเป็นเงินค่าเปรียบเทียบปรับไม่ใช่เป็นเงินที่ผู้ต้องหาชำระเกิน แต่เป็นเงินของทางราชการตำรวจที่จำเลยได้รับไว้ เมื่อจำเลยไม่นำส่งให้ครบจำนวนที่รับไว้จึงได้ชื่อว่ากระทำการทุจริตในหน้าที่ยักยอกเงินรายนี้เป็นอาณาประโยชน์ส่วนตัวเสียเอง
จึงพิพากษายืน