แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ได้รับสัมปทานตั้งโรงทำการจำหน่ายไฟฟ้านั้นถือได้ว่าได้ทำคำเสนอแสดงออกต่อบุคคลทั่วไปว่าจะรับจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประชาชนในเขตสัมปทาน เมื่อมีผู้ขอใช้ไฟฟ้าโดยยอมรับปฏิบัติตามสัมปทานแล้ว ก็ถือได้ว่าได้มีการสนองรับคำเสนอก่อให้เกิดสัญญาผูกพันกันขึ้นตามข้อที่กำหนดไว้ในสัมปทาน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องตั้งข้อกำหนดนอกเหนือไปจากสัมปทานอีกไม่ได้ และบอกเลิกสัญญาโดยลำพังตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 ก็ไม่ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่14/2498)
ย่อยาว
คดีได้ความว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้รับสัมปทานให้ทำไฟฟ้าจำหน่ายแก่ประชาชนที่จังหวัดเพชรบุรี โจทก์เป็นลูกค้าใช้ไฟฟ้ามาตั้งแต่ พ.ศ. 2489 บริษัทจำเลยติดตั้งหม้อมิเตอร์ให้โดยมิได้เรียกเงินประกัน ครั้นถึงปลาย พ.ศ. 2493 บริษัทจำเลยได้รับต่ออายุสัมปทานอีก 25 ปีมีการเปลี่ยนแปลงคือเพิ่มเครื่องทำไฟและจำหน่ายกระแสไฟสลับแทนไฟตรง ต่อมา พ.ศ. 2496 จำเลยออกประกาศให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเดิมวางเงินประกันหม้อมิเตอร์ 250 บาท ถ้าผู้ใช้ไฟฟ้าเดิมไม่ไปแสดงความจำนงก็ให้ถือว่าเลิกใช้โจทก์ไม่ได้แสดงความจำนงและไม่ยอมเสียเงิน หลังจากประกาศแล้วประมาณ 4 เดือนจำเลยก็ถอนหม้อมิเตอร์งดจ่ายกระแสไฟฟ้าให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยจ่ายกระแสไฟฟ้าและติดตั้งหม้อมิเตอร์ให้ กับเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ถือได้ว่าโจทก์เลิกใช้ไฟฟ้าแล้ว โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย สัมปทานเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบถามข้อความรับกันได้ความดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่ติดใจขอค่าเสียหาย จึงสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยเกิดความผูกพันขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374, 375จำเลยไม่มีสิทธิเลิกการจ่ายไฟฟ้าเสียได้ พิพากษาให้จำเลยติดตั้งหม้อมิเตอร์และจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้จัดการตามหน้าที่ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าการตั้งโรงไฟฟ้าจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเช่นนี้เป็นกิจการค้าอันเป็นสาธารณูปโภค ซึ่งกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชนต้องห้ามมิให้กระทำเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล รัฐบาลจะกำหนดเงื่อนไขที่เห็นว่าจำเป็นไว้ด้วยก็ได้ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. 2471 มาตรา 5 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2485 ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการที่บริษัทจำเลยเรียกเก็บเงินเช่นที่กล่าวแล้วนั้นเป็นการขัดกับสัมปทานข้อ 16, 18, 20 จะเรียกเงินเกี่ยวกับหม้อมิเตอร์เกินกว่าเดือนละ 100 สตางค์ไม่ได้ การที่บริษัทได้รับสัมปทานเช่นนี้ถือได้ว่าได้ทำคำเสนอแสดงออกต่อบุคคลทั่วไปว่าจะรับบริการต่อประชาชนภายในเขตสัมปทานตามเงื่อนไขในสัมปทาน ฉะนั้นเมื่อผู้ใช้ไฟฟ้าและปฏิบัติตามสัมปทานแล้วก็ถือได้ว่าสนองรับคำเสนอของบริษัทจำเลย ก่อให้เกิดนิติกรรมสัญญาผูกพันกันขึ้นระหว่างผู้ขอใช้ไฟฟ้ากับผู้รับสัมปทานโดยเหตุนี้จะเป็นโดยขอสัญญาหรือข้อกฎหมาย จำเลยก็ไม่มีสิทธิเรียกเงินประกันหม้อมิเตอร์และบอกเลิกสัญญาได้โดยลำพังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 พิพากษายืน