แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยซึ่งมีข้อความว่า จำเลยตกลงกลับเข้าทำงานให้แก่โจทก์มีกำหนดเวลา 3 เท่าของเวลาที่ลาไปศึกษา หากจำเลยผิดสัญญาทำงานไม่ครบตามกำหนดเวลาเนื่องจากความผิดของจำเลย จำเลยจะชดใช้เงินจำนวน 285,750.19 บาท และ 53,559.89 เหรียญสหรัฐอเมริกาพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่ผิดสัญญาให้แก่โจทก์ ข้อตกลงที่จะชดใช้เงินดังกล่าวย่อมเป็นเบี้ยปรับ เมื่อจำเลยผิดสัญญาและศาลแรงงานกลางเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินไปก็ย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ขณะที่จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ จำเลยได้รับทุนจากองค์การเอไอดี ผ่านกรมวิเทศสหการไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและค่าพาหนะให้จำเลย จำเลยทำสัญญากับโจทก์ว่า จำเลยจะต้องกลับมาทำงานให้โจทก์เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของระยะเวลาที่รับเงินเดือนระหว่างลาไปศึกษา หากทำงานให้ไม่ครบระยะเวลาดังกล่าว จำเลยยอมชดใช้เงินให้จำเลยศึกษาสำเร็จแล้วได้กลับมาทำงานให้โจทก์ แล้วต่อมาได้ลาออกโดยเหลือระยะเวลาที่จำเลยต้องทำงานชดใช้ให้โจทก์อีก ๒ ปี ๕ เดือน ๕ วัน จำเลยต้องใช้เงินให้โจทก์ตามที่ตกลงกัน ต่อมาวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๐ จำเลยขอกลับเข้าทำงานกับโจทก์ใหม่เพื่อชดใช้ทุนดังกล่าว โจทก์รับเข้าทำงานและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีใจความสำคัญว่า จำเลยตกลงกลับเข้าทำงานให้โจทก์มีกำหนด ๓ เท่าของเวลาที่ไปศึกษา หากผิดสัญญาทำงานไม่ครบตามกำหนดเวลาดังกล่าวเนื่องจากความผิดของจำเลย จำเลยจะชดใช้เงินจำนวน ๒๘๕,๗๕๐.๑๙ บาทและ ๕๒,๕๕๙.๘๙ เหรียญสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งดอกเบี้ย ต่อมาโจทก์ปลดจำเลยออกจากงานฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และถือว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะทำงานให้โจทก์ไม่ครบเวลาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะความผิดของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า การที่โจทก์ปลดจำเลยออกจากงานมิใช่ความผิดของจำเลย จำเลยมิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน๑,๓๐๓,๘๖๖.๖๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดสัญญา (วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๑) เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.๑๖ เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลย ซึ่งตามข้อ ๒ จำเลยตกลงกลับเข้าทำงานให้แก่โจทก์มีกำหนดเวลา ๓ เท่าของเวลาที่ลาไปศึกษา โดยนับแต่วันกลับเข้าทำงานใหม่ กล่าวคือมีกำหนด ๔ ปี ๓ เดือน ๑๕ วัน และตามข้อ ๓ หากจำเลยผิดสัญญาทำงานไม่ครบกำหนดเวลาตามข้อ ๒ เนื่องจากความผิดของจำเลย จำเลยจะชดใช้เงินจำนวน ๒๘๕,๗๕๐.๑๙ บาท และ ๕๒,๕๕๙.๘๙ เหรียญสหรัฐอเมริกาพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่ผิดสัญญาให้แก่โจทก์ถือได้ว่าข้อตกลงตามข้อ ๓ เป็นเบี้ยปรับเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๐ เมื่อเบี้ยปรับนั้นมีจำนวนสูงเกินไป ศาลแรงงานกลางมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจนำเวลา ๑๐ เดือน ๓ วันที่จำเลยทำงานให้โจทก์มาคำนวณลดจำนวนเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๓ จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.